The Most Powerful Young Stock Guru
ภาววิทย์ กลิ่นประทุม
The Most Powerful Young Stock Guru
หากใครที่คลุกคลีอยู่ในวงการการลงทุนด้วยหุ้น ณ เวลานี้ คงเป็นไปไม่ได้ที่คุณจะไม่รู้จักชายหนุ่มที่ชื่อ ‘ภาววิทย์ กลิ่นประทุม’
เพราะในวัยเพิ่งจะเข้าสู่หลักสาม ชื่อเสียงของภาววิทย์ต่างได้รับการยอมรับกันอย่างแพร่หลายในฐานะกูรูหุ้นรุ่นหนุ่มผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุน ทั้งยังเป็นผู้ให้คำปรึกษาด้านหุ้นที่แสนชาญฉลาดเท่าทันกระแสเศรษฐกิจที่เปลี่ยนไปอย่างลงตัว
ไม่เพียงเท่านั้นชายหนุ่มผู้นี้ยังมีความสามารถในด้านงานเขียน เมื่อเขาได้นำความรู้เรื่องการลงทุนมาเขียนเป็นบทความน่าสนใจหลายชิ้น นำเสนอด้วยภาษาที่เข้าใจง่ายผ่านบล็อกส่วนตัวที่ชื่อ Pawawit Stock-Comment และในหน้าแฟนเพจ จนมีคนติดตามมากถึง 125,719 คน ซึ่งทั้งหมดนี้ยังไม่นับรวมบทความอีกหลายชิ้นที่ได้รับการตีพิมพ์ในสื่อสิ่งพิมพ์ชื่อดังหลายสำนัก
นอกจากนี้เขายังสร้างงานเขียน เป็นผลงานด้านการเขียนพ๊อกเกตบุ๊คด้านหุ้นระดับ Best Seller ออกมาหลายต่อหลายเล่ม อาทิ แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้านเล่ม 1-3, ออมในหุ้น, คลินิกหุ้นมือใหม่, ดีที่สุดในจุดที่ยืน และเล่มล่าสุดที่มีชื่อว่า คิดแบบภาววิทย์
ทั้งหมดน่าจะเป็นเครื่องยืนยันความเป็นกูรูด้านหุ้นให้แก่ชายหนุ่มผู้นี้ได้เป็นอย่างดี เมื่อเป็นเช่นนั้นคงจะเป็นการดีที่บทสัมภาษณ์ใหญ่ของเราในฉบับนี้จะไปนั่งพูดคุยกับเขาในเรื่องราวของการลงทุนในกระแสโลกที่ผันผวน ปรัชญาการลงทุนส่วนตัว รวมถึงบทบาทการเป็นครูผู้ให้ความรู้ในเรื่องหุ้นอันเป็นงานที่เขารักมากที่สุดในขณะนี้ ซึ่งภาววิทย์ได้เปิดโอกาสให้เราถามทุกคำถามที่กล่าวไปอย่างเจาะลึกมากที่สุด
จนได้ออกมาเป็นบทสัมภาษณ์ขนาดท้วม ๆ ที่เราเชื่อว่าหากคุณอ่านตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่มากก็น้อยในระหว่างบรรทัดของคำตอบ น่าจะทำให้คุณได้รับไอเดียเรื่องหุ้นและการลงทุน เพื่อนำไปใช้ต่อยอดสร้างความมั่งคั่งในอนาคตได้อย่างเป็นรูปธรรมแน่นอน
MKT Event : ถามแรง ๆ การลงทุนในตลาดหุ้น มันเป็น Hunger Game ของคนโลภใช่หรือไม่
ภาววิทย์ : ถามแบบนี้ผมอึ้งเลยนะ (หัวเราะ) เอาจริง ๆ ใครมองแบบนั้นผมว่ามันตื้นเขินไป เพราะในความคิดผมการลงทุนหุ้นมันเป็น Winner Game เป็นเกมส์ของผู้ชนะต่างหาก
MKT Event : ผู้ชนะที่ว่าต้องเป็นอย่างไร
ภาววิทย์ : ผู้ชนะก็คือกลุ่มคนที่เข้าใจตลาด รอในระยะยาวเป็น และกล้ามากพอที่เห็นพอรต์การลงทุนของตัวเองลงได้ 50% อยู่เรื่อย ๆ
MKT Event : หมายความว่าอะไร
ภาววิทย์ : มันคือการทนรวยได้ ที่หลายคนไม่เข้าใจไงครับ
MKT Event : อย่าว่าแต่หลายคนเลยคำว่า ‘ทนรวย’ เป็นอย่างไรผมก็ไม่เข้าใจ
ภาววิทย์ : อธิบายง่าย ๆ นะ คุณลองไปสังเกตการเล่นหุ้นของคนรวยสิว่าเขาทำกันอย่างไร ถ้าไม่รู้ผมจะบอกว่า คนรวยเขาเล่นหุ้นกันแบบที่ว่าเขามองออกว่าหุ้นตัวไหนมันคือขยะ อะไรคือสิ่งที่เรียกว่าสินทรัพย์ (Assets) ยกตัวอย่างเช่น พวกเจ้าสัวรายใหญ่ ๆ เขาเล่นแบบซื้อเพื่อเอามาถือเฉย ๆ อย่างหุ้นของเซ็นทรัลนี่ 10 กว่าปีที่ผ่านมาหุ้นขึ้น 150 เท่า จากเมื่อปี 2000 มูลค่าหุ้นเขามีราคาเพียง 30 สตางค์แต่เมื่อปีที่แล้วราคามันพุ่งขึ้นถึงประมาณ 50 บาท ถ้าใครมีเงิน ยกตัวอย่างคุณมีล้านนึงวางไว้ในหุ้นเซ็นทรัลแล้วไม่ขายเลยวันนี้มูลค่าของมันจะเป็น 150 ล้านบาท นั่นเป็นเกมส์ของคนรวย เขาทนดูมันได้ไม่ว่ามันจะขึ้นจะตกแค่ไหน เขามองกันที่ปลายทาง
MKT Event : ตัวอย่างของนักลงทุนแบบชาญฉลาดเป็นใคร อยากให้คุณลองยกตัวอย่างให้ฟังหน่อย
ภาววิทย์ : ผมยกตัวอย่างเป็นการลงทุนของ ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร แล้วกัน ง่ายดี เพราะใครก็รู้ว่าแกคือเซียนหุ้นอันดับต้น ๆ ของประเทศ คือท่านโดนไทร์ออกจากการทำงานโบรกเกอร์ในปี 1997 ซึ่งท่านก็มีเงินสะสมไว้ประมาณ 10 ล้านบาท แต่การจะรีไทร์ตอนนั้นด้วยเงินจำนวนเท่านั้น มันไม่พอ ดร.นิเวศน์ ท่านเลยนำเงินนั้นมาซื้อหุ้นเซเว่นอีเลฟเว่น เพราะเขามองว่านี่มันเป็นสินทรัพย์ที่ต้องโต และธุรกิจเรื่องอาหารจะเป็นสิ่งสำคัญกับชีวิตคนในอนาคตแน่นอน ทั้งที่ในวันนั้นสาขาเองก็ไมได้เยอะเหมือนทุกวันนี้ แต่ท่านกล้า วันนี้ผ่านมาไม่ถึง 20 ปี พอร์ตท่านมีเงินประมาณ 4,000 ล้าน นี่เป็นตัวอย่างของคนที่มองออก
MKT Event : แล้วถ้าให้คุณแนะนำในสถานการณ์เช่นนี้ อะไรเป็นสินทรัพย์ที่น่าลงทุน
ภาววิทย์ : จริง ๆ วันนี้สิ่งที่เป็นสินทรัพย์ก็ยังเหมือนเดิมเลย หลักของมันก็คือ 1.เป็นสิ่งที่มนุษย์ต้องการ 2.สิ่งนั้นมีจำนวนจำกัด 3.มูลค่าต้องเพิ่ม เราวิเคราะห์ได้แล้วว่าอะไรเป็น เช่น ที่ดิน เป็นสิ่งที่มนุษย์ต้องการ ถ้าคุณเลือกที่ดินแถวรังสิตมนุษย์อาจจะต้องการน้อยหน่อย ถ้าคุณเลือกแถวสีลม ติดรถไฟฟ้ามนุษย์ต้องการเยอะ ต่อมาก็คือน้ำมัน ผมถามว่ามนุษย์ต้องการน้ำมันไหม
MKT Event : ต้องการสิครับ
ภาววิทย์ : แล้วถามว่าจำนวนจำกัดไหม จำกัดแน่นอน แม้ว่าวันนี้มันอาจจะราคาถูกแต่ถามว่าในอนาคตมันจะแพงไหม มันต้องแพงแน่นอนนั่นเป็นสิ่งที่คุณก็ต้องหาจังหวะในการลงทุนให้เป็น มากกว่านั้นสิ่งที่น่าลงทุนก็คือพระเครื่อง อัญมณีอย่างหยก หรือทองอะไรแบบนี้ แต่ถ้าเราโฟกัสกันแค่เรื่องหุ้นแล้วมันต้องลงลึกมากกว่านั้น
MKT Event : แล้วทุกวันนี้วิธีคิดในการลงทุนหุ้นของคนทั่วไปเท่าที่คุณสัมผัสเป็นอย่างไร
ภาววิทย์ : คนส่วนใหญ่อยากมากที่สุด ในระยะเวลาที่เร็วที่สุดเขาถึงไปซื้อหุ้นที่มันขึ้นลงแรง แล้วเสี่ยงไปกับมันแบบรายวัน เพราะฉะนั้นโจทย์ในตลาดหุ้นใครก็ตามที่เข้ามาแล้วอยากรวยเร็วก็เจ๊งเร็วขึ้นเท่านั้น ผมไม่เห็นคนโลภอยู่ได้โดยยั่งยืนเลยในวงการนี้ เพราะถ้าคุณเลือกแบบนั้นหุ้นที่คุณเลือกมันจะไปสอดคล้องกับตลาดแบบ Red Ocean ที่ในนั้นเต็มไปด้วยคนจำนวนมากแก่งแย่งแข่งขันกันลงทุนกับคุณอยู่
MKT Event : มันมีวิธีที่จะเปลี่ยนวิธีคิดของคนให้ไปเน้นลงทุนหุ้นในตลาด Blue Ocean
ภาววิทย์ : ทำได้ครับ (ตอบเร็ว) เหมือนกับที่ผมและกลุ่มเพื่อนนักลงทุน ทำกับ Stock Tomorrow อยู่นี้แหละครับ ที่เราเปิดคอร์สสัมมนาขึ้นมาเพื่อสอนการลงทุนแบบเจาะลึก เพื่อเปลี่ยน Mind Set ทางการลงทุน คือในคอร์สที่ว่าเราจะสอนตั้งแต่เรื่องเบื้องต้นนั่นคือวิธีคิด หลักการการลงทุน รวมถึงเทคนิคการเข้าสู่ตลาดโดยปูพื้นให้คนเข้าร่วมสัมมนาฟังว่า คนรวยคิดลงทุนอย่างไร คนจนคิดลงทุนอย่างไร สอนว่าสินทรัพย์ไหนถูก สินทรัพย์ไหนแพง สอนการอ่านงบการเงิน เทียบเคียงให้ดูว่าบริษัทไหนควรเป็น Assets ที่คุณควรสนใจ ซึ่งเรื่องราวเหล่านี้ถ้าคุณเข้าใจ การลงทุนก็จะเป็น Passive Income ที่สามารถผลิตเงินให้คุณได้อย่างยั่งยืนเพื่อมุ่งหน้าสู่ชีวิตแบบ Financial Freedom ในอนาคต
MKT Event : การสัมมนาที่จะช่วยเปลี่ยนวิธีคิดนี้ คุณว่ามันคือนวัตกรรมทางการเรียนการสอนรูปแบบใหม่ในวงการตลาดทุนบ้านเราหรือไม่
ภาววิทย์ : ไม่ถึงขนาดนั้นครับ มันคือการเปลี่ยนความคิดคนธรรมดารให้รวยเท่านั้นเอง ที่ต่างประเทศเขาก็มีอย่าง Rich Dad Poor Dad ของ Robert Kiyosaki หรือการสัมมนาของ T HarvEker อะไรประเภทนี้ เราพยายามทำโดยประยุกต์การเรียนการสอนแบบนั้นให้เนื้อหาเหมาะกับวิธีคิดแบบไทย ๆ เพราะต่างประเทศเขาก็คิดไม่เหมือนเรา ดังนั้นการจะสร้างคอร์สการเรียนต้อง Think Global แต่ Act Local อันนี้คือสิ่งที่พยายามทำรวมถึงสิ่งที่ Stock Tomorrow ทำ ก็คือการออกหนังสือให้ความรู้เกี่ยวกับการลงทุนหลายรูปแบบเพื่อติดอาวุธทางปัญญาให้แก่นักลงทุนรุ่นใหม่
MKT Event : วิธีการในการสอนเป็นแบบไหน
ภาววิทย์ : เราไม่ได้สอนให้จำแล้วทำตามนะครับ เราสอนให้คิดว่าวันนี้เราได้แรงบันดาลใจอะไรจากการคุย เพิ่มเติมวิธีคิดลงไปในการสัมมนา มันก็จะทำให้คนที่มาเรียนกับเราคิดเป็น คิดได้
MKT Event : เรื่องจิตวิทยาในการลงทุนคุณปลูกฝังให้แก่คนที่เข้าเรียนด้วยไหม
ภาววิทย์ : สำคัญมากครับ (ตอบเร็ว) นั่นคือสิ่งที่เราต้องใส่ลงไป ว่าจะลงทุนอย่างไรให้รวยอย่างยั่งยืน ที่คนส่วนใหญ่มักติดกับกับความคิดแบบไม่เมคเซนส์ นั่นก็คืออยากรวยเร็ว คือจะซื้อหุ้นที่ขึ้นแรง ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเป็นหุ้นปั่นหรือไม่ สุดท้ายก็กลับมาที่เดิมแล้วต่ำกว่าเดิมด้วย อีกอันหนึ่งซื้อหุ้นดีแต่ซื้อตอนที่มันขึ้นแรงก็แปลว่าคุณซื้อแพงไง แล้วเวลาแพงผลตอบแทนของคุณมันก็ย่อลงมา 70% นั่นแปลว่ายังไงก็เจ๊งเลยนะ นี่เป็นกับดักของการอยากรวยที่เราต้องเปลี่ยน
MKT Event : นอกจากการเรียนการสอนแล้ว ยังมีอะไรอีกหรือไม่ที่คุณคิดและสร้างขึ้นเพื่อพัฒนาศักยภาพของตลาดทุน
ภาววิทย์ : สิ่งที่ผมสนใจในตอนนี้คือเรื่องของ Start Up ที่สร้างนวัตกรรมจากความคิดให้เป็นสิ่งที่ไม่มีใครเคยทำมาก่อน จากแนวคิดแบบนี้ ผมจึงไปร่วมลงทุนกับโปรแกรมเมอร์รุ่นใหม่สร้างโปรแกรมการซื้อขายหุ้นด้วยหุ่นยนต์ขึ้นมา โดยให้ลูกค้านำเงินมาลงทุนแล้วให้หุ่นยนต์ที่ว่าซื้อขายหุ้นให้ กำไรที่เกิดขึ้นเราแบ่งกัน ซึ่งต่างจากค่าคอมมิชชั่นที่เราต้องจ่ายเวลาเทรดหุ้นให้โบรกเกอร์ตอนนี้ผมเปิดมา 2 ปี ตอนนี้ผมบริหารเงินลงทุนประมาณ 2,000 ล้านบาท แล้วรับเฉพาะลูกค้าที่ระดับค่อนข้างแน่นหน่อย เงินลงทุนเริ่มต้นประมาณ 3 ล้านบาทขึ้นไป
MKT Event : ข้อดีของการใช้โรบอทเทรดหุ้นคืออะไร
ภาววิทย์ : ถ้าคุณให้โรบอทเล่นให้ ข้อดีของมันก็คือการจำกัดการลงทุนที่เสียเปล่าให้แคบลงหรือแทบจะไม่เสียเลยได้ สามารถกระจายความเสี่ยงให้มีการซื้อหุ้นที่มีคุณค่าตามอย่างที่โรบอทสแกน อย่างวันนี้ตั้งค่าโรบอทให้เข้าไปซื้อ 100 ตัว ถ้าเป็นคนก็นั่งเคาะไป แต่นี่สามารถซื้อพร้อมกันได้ในทีเดียว ทั้งมันยังสามารถคิดได้ว่าตัวไหนควรเก็บ หรือถ้าควรปล่อยก็ปล่อยได้ทันที แบบไม่ต้องอาลัยอาวรณ์ หรือไม่มัวมานั่งคิดมากว่าจะขายไม่ขายหลังจากที่ได้ข้อมูลอินไซด์ ซึ่งไม่รู้ว่าจริงหรือไม่ โดยสรุปสิ่งที่ผมคิดขึ้นมาก็เพื่อทำให้การลงทุนของทุกคนมีประสิทธิภาพและชาญฉลาดมากขึ้น
MKT Event : ถามจริง ๆ ที่คุณลุกขึ้นมาทำทุกอย่างนี้ จุดประสงค์ที่แท้จริงคืออะไร
ภาววิทย์ : ที่ผมทำไม่ได้มุ่งหวังอะไรทั้งสิ้น คือทั้งผมและ Stock Tomorrow เราอยากกำหนดบทบาทให้ตัวเองเป็นเหมือน Social Enterprise ที่สร้างความรู้ให้แก่คน เพราะถ้าคนมีความรู้มากขึ้นเขาก็สามารถเปลี่ยนแปลงประเทศไปในทางที่พัฒนาขึ้นได้อีกหน่อย เราก็สามารถทำธุรกิจในพม่า เวียดนาม ลาว เพราะคนเหล่านั้นยังไม่พัฒนาเท่าเรา นักลงทุนเราเก่งกว่าสิงคโปร์อีกนะ คุณเชื่อไหม
MKT Event : จริงหรือครับทั้งที่ดูเหมือนว่าเขาเสมือนเป็นตลาดทุนที่ใหญ่ที่สุดใน AEC นะ
ภาววิทย์ : เขาเก่งจริงครับ แต่เก่งในการลงทุนรูปแบบสถาบัน แต่ถ้าเป็นรายย่อยนี่เขาสู้เราไม่ได้ ใน AEC เราเก่งที่สุด ตลาดเราอาจจะไม่ใหญ่แต่โวลุ่มการเทรดรายวันเราเยอะไง คือมีคนเข้ามาจำนวนมาก และคนเหล่านั้นเริ่มเข้าใจตลาดเยอะขึ้น เพราะเขารู้ตลาดหุ้นออมได้ด้วยคือที่สิงคโปร์เขามองอยู่อย่างเดียวว่ามันต้องเทรด แต่คนของเรามีวิธีคิดที่เหนือกว่านั้นนั่นคือการสร้างผลกำไรด้วยการออมในหุ้นที่ให้ผลตอบแทนที่ดี เราจึงอยากให้ความรู้เกี่ยวกับการลงทุนเพื่อพาทุกคนไปสู่อิสรภาพทางการเงินในอนาคต
MKT Event : คุณพูดว่าจะพาคนไปพบเจออิสรภาพทางการเงิน แล้วกูรูด้านหุ้นแบบคุณพบเจออิสรภาพทางการเงินแล้วหรือยัง
ภาววิทย์ : ผมว่าผมเจอแล้วนะ (ยิ้ม) ผมเลยอยากพาคนไปยืนในจุดที่ผมเจอ (หัวเราะ) แต่สิ่งที่ต้องถามต่อคือเมื่อคุณมีอิสรภาพทางการเงินแล้วชีวิตคุณจะเป็นอย่างไร แน่นอนชีวิตคุณจะดีขึ้น มีเป้าหมายในการใช้ชีวิตที่ชัดเจนขึ้น แต่การมีอิสรภาพทางการเงินอาจไม่ได้หมายความคุณต้องมีเงินเป็นสิบ ๆ ล้านนะ แต่มันง่ายกว่านั้นมาก ผมยกตัวอย่างเช่นว่าเดือนหนึ่งคุณมีรายจ่ายแบบฟิกซ์อยู่ที่ 10,000 บาท แต่คุณมีเงินปันผลจากการลงทุนในหุ้น 20,000 บาท นั่นเท่ากับว่าคุณมีเงินใช้จ่าย แถมยังมีเงินเหลือเก็บอีกด้วย นี่เป็นข้อดีที่ทำให้ชีวิตคุณมีความสุขสามารถเลือกว่าอยากทำอะไรได้อย่างอิสระ
MKT Event : เอาเป็นว่าคุณพบแล้วใช่ไหม
ภาววิทย์ : ใช่ครับพบแล้ว (หัวเราะ) แล้วตอนนี้ผมก็ปล่อยให้เงินทำงาน โดยที่ผมก็มาทำสิ่งที่ตัวเองรักนั่นคือการเป็นครูที่คอยอบรมเรื่องการลงทุนรูปแบบใหม่ให้แก่คน Gen Y รวมถึงการเขียนหนังสือเผยแพร่ความรู้เหล่านี้ออกไปให้มากที่สุด
MKT Event : จุดมุ่งหมายที่ใหญ่ที่สุดในชีวิตของคุณตอนนี้คืออะไร
ภาววิทย์ : ผมอยากเปลี่ยนคนให้มีความรู้ ทำให้เขาประสบความสำเร็จ ผมเชื่อว่าถ้าเรายิ่งสร้างประโยชน์ให้กับคนอื่น เราก็ยิ่งประสบความสำเร็จ เพราะยิ่งมีคนอยากประสบความสำเร็จมาก เขาก็ยิ่งต้องมาเรียนกับผม ผมก็รวยขึ้นจริงไหม ซึ่งค่าเรียนผมบอกเลยว่าไม่ถูก ก็ภูมิใจที่ทำตรงนี้ เพราะเราไม่ได้รวยจากการโกงกิน ผมล้มมาเยอะ เจ็บจากการทำธุรกิจมาก็มาก ก็อยากเอาความรู้ตรงนี้มาเป็นวิทยาทานให้แก่คนส่วนใหญ่ใช้เปลี่ยนแปลงตัวเอง
เรื่อง : Boonake A.
ภาพ : วิริยะ หลวงสนาม