AVATAR : Discover Pandora
ในปี 2009 เจมส์ คาเมรอน ผู้กำกับที่ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในพ่อมดแห่งโลกภาพยนตร์ ได้เปิดเผยให้ชาวโลกได้เห็นและประจักษ์กับความทะเยอทะยานในการสร้างนวัตกรรมทางด้านภาพยนตร์ชิ้นใหญ่ในชีวิตของเขา นั่นคือภาพยนตร์ที่มีชื่อว่า ‘Avatar’
ที่ว่าเป็นความทะเยอทะยานอีกขั้นสำหรับการสร้างภาพยนตร์ในยุคนั้นก็คือ ความล้ำหน้าทางเทคโนโลยีด้านภาพที่ถูกใส่เข้าไปหนัง อาทิ เทคนิคโมชั่นแคปเจอร์ที่เก็บรายละเอียดการเคลื่อนไหวของนักแสดงแทรกลงมาบนฉากคอมพิวเตอร์ได้แบบ “เรียลไทม์” (ซึ่งนั่นเป็นเหตุว่าทำไมเขาถึงบอกว่า Avatar ไม่ใช่ภาพยนตร์อนิเมชั่น) หรือการใช้เทคนิคที่เรียกว่า ‘The Volume’ มาจับอากัปกริยาการแสดง สีหน้าต่าง ๆ ให้ตัวละคร เพื่อสร้างความสมจริงในการแสดงอารมณ์ให้ตัวละครที่เกิดขึ้นจากคอมพิวเตอร์กราฟิก
รวมถึงการถ่ายทำทุกซีนด้วยกล้อง Virtual 3D ที่มีความสมจริงมากกว่าการถ่ายทำภาพสามมิติที่เคยเกิดขึ้น ทำให้ภาพที่ได้มีความสมจริง อลังการในทุกรายละเอียด สามารถสั่นไหวทุกความรู้สึกของผู้รับชม ทั้งยังเป็นภาพยนตร์สามมิติที่มีความยาวที่สุด (165 นาที) สำหรับการรับชมในระบบไอแมกซ์ และเป็นภาพยนตร์เรื่องแรกที่ถ่ายทำด้วยระบบสามมิติแบบเรืองแสงอีกด้วย
ทุกซีนของ Avatar จึงเป็นประสบการณ์ใหม่ที่แสนยิ่งใหญ่ในการเสพความสุขกับภาพยนตร์ สามารถสร้างความสำเร็จสะท้อนออกมาเป็นตัวเลขรายได้มหาศาลกว่า 2.8 พันล้านดอลลาร์ ขึ้นสู่ทำเนียบภาพยนตร์ทำเงินรายได้อันดับหนึ่งตลอดกาลนั่นเอง
จากวันนั้นถึงวันนี้เป็นเวลากว่า 8 ปี เจมส์ คาเมรอน และทีมงานของเขาก็ยังไม่หยุดคิดในการสร้างประสบการณ์ใหม่ต่อยอดความน่าตื่นใจภายใต้แบรนด์ Avatar บนแนวคิดการนำพาคนเข้าไปสัมผัสกับความมหัศจรรย์ของดาวแพนโดราให้ได้ใกล้ชิดมากที่สุด จนได้เป็นอีเวนท์ที่ชื่อว่า ‘AVATAR : Discover Pandora’
งานนี้จัดแสดงเป็นครั้งแรกในช่วงปลายปีที่แล้วที่ไทเป ประเทศไต้หวัน ได้รับการตอบรับอย่างดีจากแฟน ๆ ของ Avatar ทุกคนที่เข้าชมต่างประทับใจกับประสบการณ์ที่ได้สัมผัสบนดาวแพนโดรา ถึงขนาดที่ “Greg Lombardo” รองประธานอาวุโสฝ่ายพื้นที่ความบันเทิงของทเวนตี้ เซ็นจูรีฟ็อกซ์ ถึงกับออกปากชมว่า “ความใส่ใจในรายละเอียดของจุดสัมผัสแบบโต้ตอบ และพื้นฐานการเล่าเรื่องเชิงหลักวิทยาศาสตร์ที่แข็งแรง ทำให้นิทรรศการนี้สามารถมอบประสบการณ์ที่น่าจดจำให้เราได้อย่างแท้จริง ซึ่งทั้งหมดได้รับแรงบันดาลใจจากภาพยนตร์อันน่าทึ่งของ เจมส์ คาเมรอน”
ถึงบรรทัดนี้ต้องบอกเลยว่าเป็นความโชคดีของคนไทยอย่างแท้จริง เมื่อออแกไนเซอร์ชื่อดังอย่าง ‘Pixel One’ ได้ร่วมมือกับพาร์ทเนอร์อย่าง ‘Mactus’ ผู้นำธุรกิจด้านบันเทิงครบวงจรจากประเทศสิงคโปร์ และ บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด นำงานนี้มาให้ชาวไทยได้ร่วมสัมผัส โดยเริ่มเข้าชมได้ตั้งแต่เมื่อวันที่ 1 ก.ค. จนถึงวันที่ 3 ก.ย. 60 ที่ MCC Hall เดอะมอลล์บางกะปิ
แต่ก่อนที่จะเสียเงินเข้าไปชมกันจริง ๆ ลองมาดูข้อมูลและภาพภายในนิทรรศการเบื้องต้นก่อนที่คุณจะได้ไปสัมผัสด้วยตา สร้างประสบการณ์ส่วนตัวของคุณ
เริ่มต้นที่โซนแรก Entry Portal ประตูทางเข้าที่จะพาท่านข้ามผ่านศตวรรษ 21 ไปสู่ศตวรรษ 22 โดย ด็อกเตอร์ นอร์ม สเปลแมน ผู้เชี่ยวด้านดาวแพนโดรา จะมาให้คำแนะนำถึงสิ่งที่คุณจะได้เจอในอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้า
เมื่อเข้าสู่โซน 2 และ 3 คือ Introduction to Universe และ The Avatar Program คุณจะได้เรียนรู้การค้นพบดาวแพนโดราในระบบสุริยะ ประวัติของดาวแพนโดรา ประวัติของชาวนาวี รวมถึงเรียนภาษาของชาวนาวีเพื่อก้าวเข้าสู่โซนที่ 4 ชื่อ Pandora เป็นโซนที่คุณได้เข้าสู่ดาวแพนโดรา พาให้คุณได้พบกับสรรพชีวิตตามสภาพแวดล้อมของดาว ที่มีให้คุณสัมผัสได้ด้วยมือ ด้วยการดมกลิ่น ซึ่งแน่นอนมีกลิ่นพืชที่เหม็นที่สุด (บอกเลยว่ากลิ่นมันช่าง…) รวมถึงข้อมูลต่าง ๆ ทางชีวิวิทยาเชิงลึกในรูปแบบอินเทอร์แอคทีฟ
ส่วนต่อมาโซนที่ 5 เรียกว่า Na’vi Culture เดินทางเข้าสู่ดินแดนของชาวนาวี เป็นสิ่งมีชีวิตคล้ายคนที่มีความสูงกว่า 9 ฟุต คุณจะได้เรียนรู้ถึงวัฒนธรรมการใช้ชีวิตของชนเผ่านี้ อุปกรณ์การดำรงชีวิตจำลองในรูปแบบต่าง ๆ เชื่อมโยงถึงวิถีชีวิตทุกรูปแบบอย่างละเอียด (…แล้วอย่าลืมเทียบขนาดมือ ขนาดเท้ากับชาวนาวีด้วยล่ะ)
อีกสามโซนต่อมาคือโซน Biology, Above Pandora และโซน Bioluminescence ถือเป็นไฮไลท์ที่น่าตื่นตา เพราะมีการโชว์สัตว์มหัศจรรย์ตัวหลักที่เราเห็นในภาพยนตร์ด้วยสเกลจริง ตัวใหญ่มหึมา ทั้ง Banshee, Direhorse และ Viporwolf พร้อมด้วยสัตว์และพืชพรรณเรืองแสงที่ปรากฏตัวในยามค่ำคืน อีกทั้งคุณยังจะได้บังคับนกยักษ์ Banshee ได้ด้วยตัวคุณเอง
ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีอีกโซนไฮไลท์ที่มีชื่อว่า RDA จัดแสดงวิทยาการ และอุปกรณ์รูปแบบต่าง ๆ ของมนุษย์ที่ใช้บนดาวแพนโดรา ทั้งชุดกันอากาศพิษที่ตัวละครหลักใส่ และ AMP Suit หุ่นเหล็กควบคุมโดยมนุษย์ใช้บุกดาวสีฟ้า แน่นอนว่าคุณจะได้ทดลองบังคับ AMP Suit ในรูปแบบเกมส์อีกด้วย
มาถึงโซนสุดท้ายที่เรียกว่า Connection ในส่วนนี้ทำหน้าที่สรุปเนื้อหาทั้งหมด พบกับต้นรุกขชาติแห่งจิตวิญญาณ (Tree of Soul) ต้นไม้เรืองแสง ที่จำลองมาให้คุณได้ฟีลอินไปกับหนัง พร้อมทั้งปิดท้ายกันอย่างสวย ๆ ด้วยการที่คุณจะได้อยู่ท่ามกลางเมล็ดพันธุ์แห่งจิตวิญญาณที่ล่องลอยลงมาปรากฎอยู่รอบ ๆ ตัวให้ได้ถ่ายรูปเป็นที่ระลึกก่อนก้าวเท้าออกจากดาวแพนโดรา
นั่นคือเนื้อหาคร่าว ๆ ที่อยากนำมาเล่าให้คุณฟัง ส่วนจะชอบหรือไม่ อันนี้ต้องให้คุณผู้อ่านมาตัดสินด้วยตัวเอง แต่สิ่งที่ผมคิดว่ามันมีความแข็งแรงมากกว่าเรื่องของการชอบหรือไม่ชอบ นั่นคือพลังแห่งจินตนาการของ เจมส์ คาเมรอน ที่ได้นำจินตนาการมาสร้างเนื้อหา สร้างข้อมูลวิทยาศาสตร์เชิงประจักษ์ที่จับต้องได้ ปรากฏเป็นภาพยนตร์ที่ลึกซึ้งและต่อยอดเป็นนิทรรศการแบบอินเทอร์แอคทีฟได้อย่างน่าทึ่ง ซึ่งนับจากวันนี้ยังมีเวลาอีกเกือบหนึ่งเดือนที่จะให้ทุกคนได้เข้ามาสัมผัส ลองหาโอกาสมาชมกันดูนะครับ