The Commons
หากพูดถึงคอมมูนิตี้มอลล์ที่ขึ้นชื่อด้านการออกแบบ มีความสวยสบายตา โปร่งโล่ง เรียบ ๆ ง่าย ๆ แต่กลับดูชิคที่สุดในเวลานี้ The Commons คงเป็นอีกสถานที่หนึ่งที่เราต้องพูดถึง ด้วยการออกแบบพื้นที่เอาท์ดอร์ให้ใช้ได้ทุกวัน ทุกเวลา ทุกฤดูกาล เป็นพื้นที่ที่เราสามารถใช้เวลาอยู่กับที่ได้ทั้งวัน โดยไม่ต้องดูภาพยนตร์หรือเดินช้อปปิ้ง แต่เปลี่ยนเป็นมานั่งสนทนากันตรงพื้นที่ส่วนกลาง หรือร่วมทำกิจกรรมเวิร์คช็อปที่จัดขึ้นเป็นประจำนั่นเอง
The Commons คอมมูนิตี้มอลล์ ในซอยทองหล่อ 17 เกิดขึ้นจากแนวคิดที่อยากให้กรุงเทพฯ มีพื้นที่ที่สามารถใช้ชีวิตเอาท์ดอร์ได้มากขึ้น ได้ใกล้ชิดธรรมชาติมากขึ้น ผู้ออกแบบจึงมีความคิดสร้างอาคารให้มีการถ่ายเทอากาศได้ดี ผู้ที่เข้ามาจึงได้สัมผัสกับกระแสลมเหมือนได้นั่งเล่นอยู่หลังบ้านตัวเอง
ด้วยความชาญฉลาดในการออกแบบพื้นที่ให้เชื่อมต่อถึงกันได้ นำพาไดเรคชั่นให้เคลื่อนไหวด้วยการใช้ทางลาดและบันไดโปร่ง ช่วยลดความรู้สึกยากลำบากในการเดินขึ้นลงผ่านชั้นต่าง ๆ ทำให้ผู้คนที่มาเยี่ยมเยือนที่นี่ส่วนใหญ่ยินดีเดินไปตามทางต่าง ๆ และก้าวขึ้นบันไดแต่ละขั้นมากกว่าการใช้ลิฟท์ที่มีอยู่ด้านหลังอาคารด้วยซ้ำ
เมื่อลองดูเลย์เอาท์ของโครงการ ไล่เรียงจากชั้นล่างขึ้นไปยังชั้นบน จะแบ่งได้เป็น 4 โซนหลัก คือ Market, Village, Play Yard และ Top Yard
ชั้นล่างสุดคือโซน Market เป็นศูนย์รวมร้านอาหารนานาชาติ ทั้งอาหารไทย อาหารเม็กซิกันรสจัดจ้าน สเต็ก อาหารเกาหลี อาหารอิตาเลียน รวมถึงร้านเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่รวบรวมเบียร์และไวน์จากทั่วโลก หรือแม้แต่ร้านขนมปังฝรั่งเศสและร้านกาแฟหอมกรุ่น แต่ละร้านที่อยู่ที่นี่แม้จะไม่ใช่ร้านแฟรนไชส์ที่มีคนรู้จักมากนัก แต่ที่นี่รวบรวมเอาร้านดี ๆ จากผู้ประกอบการรุ่นใหม่ ๆ ที่ตั้งใจรังสรรค์ศิลปะแห่งรสชาติ มาเป็นตัวดึงดูดลูกค้าระดับ Food Tester รสนิยมดี ชนิดที่เรียกว่าถ้าใครได้ลองแล้วก็อยากจะมาอีกแน่นอน
ที่พิเศษไปกว่านั้นคือการสร้างความรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกัน เพราะไม่ว่าลูกค้าจะซื้ออะไรจากร้านไหนก็สามารถนำไปนั่งรับประทานได้ตรงพื้นที่ส่วนกลาง ซึ่งมีทั้งแบบอินดอร์และเอาท์ดอร์ที่เรียกว่า Common Ground ได้อย่างสะดวก
และถึงแม้ Common Ground นั้นจะไม่มีแอร์คอนดิชัน แต่ก็ไม่ร้อนอบอ้าวอย่างแน่นอน จากที่เราได้บอกไปแล้วเบื้องต้นในเรื่องการออกแบบที่ช่วยให้ลมพัดผ่านได้จากทุกทิศทาง ไม่รวมถึงการติดตั้งพัดลมเพดานขนาดใหญ่ไว้ตรงกลางโครงการเพื่อช่วยเพิ่มการถ่ายเทอากาศให้มีการหมุนเวียนได้ตลอดเวลา คุณจึงสามารถนั่งชิล ทานอาหารอย่างสบายอารมณ์ได้ทั้งวัน อีกทั้งพื้นที่ส่วนนี้สามารถจัดเป็นอีเวนท์แบบเปิดได้อย่างหลากหลาย เรียกได้ว่าลงตัวในเรื่องการออกแบบ และฟังก์ชั่นการใช้งานที่แนบเนียนไปกับแนวคิด Green Lifestyle จริง ๆ
ชั้น 2 เป็นโซน Village ออกแบบให้ดูเหมือนมีบ้านหลายหลังอยู่รวมกัน รวบรวมร้านค้าไลฟ์สไตล์ เช่น ร้านเสื้อผ้า ร้านเครื่องเสียง ร้านดอกไม้ และร้านของหวานชั้นเยี่ยม เรียกได้ว่าเป็นส่วนที่สร้างความสุขให้กับเราได้ ถ้าเปรียบแล้วก็เหมือนกับการใช้จ่ายเพื่อให้รางวัลกับตัวเราเอง
ชั้นถัดมาเป็นส่วน Play Yard ที่ไม่ใช่เฉพาะพื้นที่เล่นสำหรับเด็ก ๆ เท่านั้น เพราะนอกจากจะมีโซนที่เรียกว่า Little Pee ที่ใช้จัดกิจกรรมสันทนาการสำหรับเด็ก ๆ อาทิ คลาสเรียนทำอาหาร เรียนเต้น เรียนมายากล อีกทั้งยังเป็นพื้นที่เล่นสำหรับผู้ใหญ่ด้วย ที่นี่มีทั้งฟิตเนส ห้องโยคะ และมีพื้นที่ทำกิจกรรมของพ่อแม่และเด็กไปพร้อม ๆ กัน
ชั้นบนสุดคือพื้นที่ Top Yard ซึ่งแบ่งเป็นพื้นที่ของร้าน Roast และส่วนของ Commons Kitchen and Bar พื้นที่นี้เองเปิดเป็นสตูดิโอสำหรับจัดปาร์ตี้หรือจัดเวิร์คช็อปต่าง ๆ โดยที่สามารถเปิดประตูเชื่อมต่อกับส่วนเอาท์ดอร์เพื่อจัดงานอีเวนท์ที่ใหญ่ขึ้นได้ โดยบริเวณนี้จะมีการจัดเวิร์คช็อปอย่างสม่ำเสมอ เรียกได้ว่าในแต่ละเดือนต้องมีเวิร์คช็อปอย่างต่ำ 3 ครั้ง ทั้งการทำอาหาร ทำขนม ชงกาแฟ จัดดอกไม้ หรือตัดกระดาษ โดยที่ทางทีมงาน The Commons พยายามสรรหาคอนเทนต์ให้มีความหลากหลายมาสลับสับเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ รวมกับส่วนหนึ่งที่เป็นเวิร์คช็อปจากผู้เช่าใน The Commons เข้ามาแชร์สิ่งที่ตัวเองชอบให้กับคนอื่น ๆ นี่จึงเป็นชุมชนแห่งการแบ่งปันที่ไม่ใช่เพียงแค่การเปิดเป็นพื้นที่ขายของ แต่เพื่อการอยู่ร่วมกันในระยะยาวของคอมมูนิตี้มอลล์แห่งนี้กับคนในชุมชนอีกด้วย
นอกจากเวิร์คช็อปที่ The Commons จัดขึ้นแล้ว ยังเปิดพื้นที่สำหรับคนภายนอกได้เข้ามาจัดไพรเวทปาร์ตี้หรืออีเวนท์ต่าง ๆ ได้ด้วย เพราะที่ Commons Kitchen มีอุปกรณ์เครื่องครัวและพื้นที่โต๊ะใหญ่ให้จัดงานได้สบาย ๆ สามารถรองรับคนร่วมงานได้ถึง 70 คน แล้วหากรวมพื้นที่ด้านนอกเข้าไปอีก ก็สามารถทำอาหารกันที่นี่ได้เลย หรือสั่งอาหารจากร้านในโซน Market ขึ้นมาก็ได้ โดยติดต่อกับร้านอาหารเหล่านี้ได้โดยตรง ไม่มีการชาร์จค่าอาหารเพิ่มเติมอีกต่างหาก
ทั้งหมดที่เราได้เล่าไป เชื่อว่าคุณคงมองเห็นภาพของพื้นที่ในอุดมคติที่สามารถเชิญชวนคนหลากหลายไลฟ์สไตล์ให้มาใช้ชีวิตร่วมกันได้เป็นหนึ่งเดียว จนกล้าพูดได้ว่านี่คือพื้นที่ใช้ชีวิตธรรมดา (Common) ที่ไม่ธรรมดา สามารถตอบโจทย์ทุกความสุขของชีวิตให้กับคนเมืองได้อย่างลงตัวและเต็มรูปแบบในที่แห่งเดียวนี้