Inspired by Personal Branding
ในชุดความคิดของคนทั่วไปในสังคม หากถูกถามว่า “อะไรคือปัจจัยสำคัญที่ทำให้ประสบความสำเร็จในการทำงาน?” แทบจะทั้งหมดของคนที่ถูกถามจะตอบแบบเดียวกันว่า แค่ทำงานให้เก่ง หมั่นเรียนรู้พัฒนาตัวเองสม่ำเสมอ เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว ผมเองลองถามเอากับคนสนิท 2-3 คน ผลลัพธ์ที่ได้มันก็เป็นอย่างนั้นจริง ๆ เสียด้วย และผมก็เห็นด้วยกับมวลความคิดนั้นอย่างสนิทใจ
แต่เมื่อผมได้มีโอกาสได้นั่งคุยกับคุณทินี – อนัณทินี จิตจรุงพร เธอได้เขย่าความเชื่อนั้น พร้อมเปลี่ยนความคิดผมทันที เพราะเธอบอกว่าการจะประสบความสำเร็จในยุคนี้แค่เก่งอย่างเดียวไม่พอ แต่ Personal Branding ของคุณต้องแข็งแรงด้วย
ว่าแต่ อนัณทินี หรือ คุณทินีคือใคร เราอยากจะแนะนำให้คุณได้รู้จักกับเธอก่อน ปัจจุบันคุณทินีคือที่ปรึกษาด้านการสร้าง Personal Branding ชื่อดังในแวดวงมาร์เกตติ้งเทรนเนอร์ยุคนี้ และการสร้างภาพลักษณ์องค์รวมให้แก่ผู้ที่ต้องการประสบความสำเร็จด้านการงาน เธอได้นำศาสตร์และกลยุทธ์ด้านการตลาดมาหลอมรวมกับวิธีการสร้างภาพลักษณ์เชิง Image Building จนได้ออกมาเป็นองค์ความรู้ในการพัฒนาตนเองด้าน Personal Branding ต่อยอดเป็นคอร์สการเรียน “ปรับและสร้างบุคลิกภาพเชิงการตลาด” สร้างความแข็งแรงให้แก่แบรนด์บุคคล เพื่อพาชีวิตการทำงานไปสู่ความสำเร็จได้
นั่นคือประเด็นที่เราจะมาคุยถึงคอร์ส Personal Branding ที่เธอสร้างขึ้น ว่ามันสามารถสร้างแรงบันดาลใจพลิกชีวิตการทำงานของคนได้อย่างไร รวมถึงวิธีคิดในการสร้างองค์ความรู้ด้านนี้ของเธอว่ามีที่มาอย่างไร
MKT Event : การเป็นที่ปรึกษาด้าน Personal Branding ของคุณเริ่มต้นจากอะไร
ทินี : ดิฉันเองทำงานด้านการตลาด ด้านแบรนด์ดิ้งมาตลอด 20 ปี อยู่ในวงการ FMCG ตั้งแต่ Unilever, Diageo, Pepsi มันก็ถึงเวลาหนึ่งที่เริ่มคิดอยากจะสร้างอะไรเป็นของตัวเองขึ้นมา ซึ่งความรู้สึกนี้มันเกิดขึ้นเมื่อประมาณ 2 ปีที่แล้ว ตอนนั้นก็คิดว่าจะทำอะไรดี ซึ่งคำถามนี้มันอินสไปร์ความคิดให้ไปค้นหาตัวเองว่าชอบอะไร จนพบว่าตัวเองชอบถ่ายทอดความรู้ให้กับคนอื่น เพราะก่อนหน้านั้นเมื่อสัก 7 ปีที่แล้วได้รับเชิญไปเป็นอาจารย์พิเศษที่ BBA ธรรมศาสตร์ สอน 2 เทอมแล้วชอบมาก ประกอบกับในช่วงทำงาน ดูผลประเมินพนักงานปลายปี ก็พบว่าจุดแข็งของเรา คือเรื่องการสอนคน การเทรนนิ่งคน ดังนั้นก็เลยคิดว่าทางนี้น่าจะเป็นงานที่ใช่และตอบโจทย์กับตัวเองมากที่สุด
MKT Event : สาเหตุที่เลือกเป็นมาร์เกตติ้งเทรนเนอร์สาย Personal Branding
ทินี : ตอนนั้นคิดจะออกจากงานประจำ เราก็มาดูว่าถ้าเราจะมาทำเป็นมาร์เกตติ้งเทรนเนอร์เราจะเลือกสายไหนดี เพราะในสังคมการตลาดมีกูรูเต็มไปหมด โจทย์เลยอยู่ที่ว่าเราจะหาอะไรมาสร้างความต่าง ก็ศึกษาจนพบว่ายังมีอีกอย่างหนึ่งที่ยังไม่เห็นใครทำมากนักก็คือทำแบรนดิ้งให้กับคน พอได้ไอเดียก็ไปศึกษาเพิ่มเติมเรื่องของแพคเกจจิ้ง ซึ่งในที่นี้คือแพคเกจจิ้งของคน คือเรื่อง Image Management ที่มีทั้งเรื่องการแต่งตัว การวางตัว การพูด การพรีเซนต์ มารยาทหลาย ๆ อย่างก็ไปเรียนที่ London Image Institute และอีกหลายที่แล้วนำมารวมกับความรู้เรื่องแบรนดิ้งที่ตัวเองมี ก็ออกมาเป็นการเทรนนิ่ง Personal Branding
MKT Event : Personal Branding กับ Image Building มีรายละเอียดต่างกันตรงไหน
ทินี : การสร้างภาพลักษณ์หรือ Image Building ในความคิดดิฉัน เปรียบเหมือน People Packaging ไม่ว่าจะเป็นแต่งตัวอย่างไร เสื้อผ้า หน้า ผม เป็นอย่างไร ลักษณะที่เห็นเป็นภาพภายนอกคือแพคเกจจิ้ง ซึ่งเปลี่ยนได้ในระยะสั้นแค่ปรับลุค แต่ Personal Branding จะใหญ่กว่านั้น เพราะมันประกอบขึ้นจากความเชื่อ ทัศนคติ วิธีการทำตัว ที่จะให้คนเห็นว่าเราเป็นอย่างไรโดยไม่เฟค และความเป็นตัวตนตรงนี้สามารถแอทแทคกับคนกลุ่มไหน รวมถึงจะใช้วิธีอะไรเพื่อสื่อสารกับคนกลุ่มที่เราเลือกจะเป็น ซึ่งจะว่าไปมันเหมือนการทำแบรนดิ้งของการตลาดทุกอย่าง
MKT Event : การสร้าง Personal Branding มีประโยชน์กับชีวิตการทำงานอย่างไร
ทินี : สมมุติเราอยู่ในออฟฟิศ เราไม่ได้แสดงแบรนดิ้งของเราให้ชัดเจน เราก็เป็นเพียงคนในออฟฟิศทั่ว ๆ ไป เวลาผู้ใหญ่โปรโมทงานในตำแหน่งสูงอาจจะไม่นึกถึงคุณเลย หรือเวลาที่เจ้านายคุณเสนอชื่อคุณโปรโมท ผู้ใหญ่ที่พิจารณาอาจไม่รู้ว่าคุณคือใคร จะสามารถรับผิดชอบงานที่รับมอบหมายได้หรือไม่ ซึ่งมันแตกต่างมากกับคนที่เขาสร้าง Personal Branding ชัดเจน เพราะ แค่บอกชื่อทุกคนก็ร้องอ๋อทันที
MKT Event : นั่นหมายถึงการทำตัวให้เด่นในองค์กรใช่ไหม
ทินี : จะพูดแบบนั้นก็อาจจะใช่ค่ะ เป็นการวางตัวตนให้คนจำได้มากกว่า
MKT Event : แต่วัฒนธรรมการทำงานแบบไทย ๆ มักจะบอกว่า ‘อย่าทำตัวเด่นจะเป็นภัย’ ไม่ใช่หรือครับ
ทินี : ดิฉันบอกเลยว่าไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้ ตอนเด็ก ๆ แม่เคยบอก “จงทำดีแต่อย่าเด่น จะเป็นภัย ไม่มีใครอยากเห็นเราเด่นเกิน” ท่อนแรกพอรับได้ แต่เรื่องที่ว่าไม่มีใครอยากเห็นเราเด่นเกินอันนี้รับไม่ได้ เพราะการที่เราเด่นแล้วมีคนหมั่นไส้ มันไม่ใช่ปัญหาของเรา มันเป็นปัญหาของเขา ซึ่งเราก็ไม่อาจไปห้ามความคิดตรงนี้ได้ จริงไหม
แต่สิ่งที่เราควรจะทำก็คือทำแบรนด์ตัวเองให้ชัด ๆ โดยไม่ไปข่มคนอื่น เพราะถ้าทำเพื่อข่มอันนั้นแหละที่จะโดนคนเขาหมั่นไส้ แต่ถ้าเราแค่แสดงความเป็นตัวของตัวเองชัด ๆ ส่วนจะมีคนชอบหรือไม่ชอบนั้น เราต้องยอมรับให้ได้ว่าในโลกนี้ไม่ได้มีใครชอบเราทุกคน
MKT Event : คุณมีวิธีคิดสร้างเนื้อหาฝึกอบรมในแต่ละคอร์สของคุณอย่างไร
ทินี : สร้างขึ้นด้วยวิธีคิดแบบมาร์เกตติ้งเลยค่ะ คืออย่างแรกต้องดูว่าความต้องการของคนที่มาหาเรามีอะไร ทำความเข้าใจให้มากที่สุด ดูการแต่งตัวของลูกค้า ดูแพคเกจจิ้ง รสนิยม ทัศนคติภายนอก ดูให้ทะลุปรุโปร่ง แต่ก็ต้องบอกก่อนว่าคอร์สนี้ใช้ได้กับกลุ่มลูกค้าบางกลุ่ม เพราะสำหรับกลุ่มที่มองหาการแต่งตัวเก๋ ๆ แฟชั่นจัด ๆ คอร์สนี้จะไม่เหมาะสำหรับเขา เพราะเน้นเรื่องของการเป็นผู้บริหารมากกว่า
MKT Event : ใช้วิธีไหนในการสื่อสารทางการตลาด
ทินี : ตอนนี้ทำการตลาดผ่านช่องทางเดียวคือเฟซบุ๊คค่ะ เพจ Image Inspiration by Tinee ซึ่งที่ทำอยู่ก็เป็น Educational Page ให้ความรู้ว่า Personal Branding คืออะไร ที่ต้องให้ความรู้เพราะส่วนมากคนจะเข้าใจเรื่องภาพลักษณ์ เข้าใจเรื่องการแต่งตัว แต่ไม่สามารถลิงค์ว่าทำไมฉันต้องทำมัน ในเนื้อหาของเพจก็จะเขียนเล่าเคสของลูกค้าให้อ่านกันว่า Personal Branding ทำให้ชีวิตเขาประสบความสำเร็จได้อย่างไร หรือบางครั้งอาจจะเป็นเคสที่ไม่ประสบความสำเร็จ ชี้ให้เห็นว่ามันเกิดจากอะไร เป็นโนว์ฮาวให้คนติดตามนำไปใช้ได้ ส่วนคนที่สนใจมาเรียนก็เพราะประโยคที่ว่า “บางทีโอกาสก็ปิดตั้งแต่ที่แพคเกจจิ้ง”
MKT Event : คุณกำลังจะบอกว่าเราควรตัดสินคนจากภายนอก
ทินี : มันก็คงไม่เชิงอย่างนั้นทั้งหมด ต้องถามกลับอย่างนี้นะคะว่า “เวลาคุณเห็นสินค้าที่แพคเกจจิ้งดูดี เท่ ๆ เก๋ ๆ คุณอยากซื้อไหม” ใช่ไหมคะ ทั้งที่ยังไม่รู้เลยว่าข้างในใช่หรือไม่ใช่ แต่อยากได้ละ เหมือนกันค่ะ แพคเกจจิ้งของคนก็ทำให้เปิดโอกาสได้ หรือบางทีมันก็ทำให้ปิดโอกาสได้เช่นกัน ถ้ามองไปแล้วเรารู้สึกว่าไม่น่าใช่คนที่เราจะคุยด้วย หรือถ้าเขามองมาแล้วเราไม่น่าใช่คนที่เขาอยากคุยด้วย ก็เป็นการปิดโอกาสที่เราจะได้แสดงสิ่งที่เราเป็น เพราะว่าเขาไม่ยอมรับสิ่งที่เราเป็นตั้งแต่แรก
จริง ๆ แล้วมันเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ แต่ทุกคนก็ทำอย่างนั้นหมด ตอนที่ดิฉันไปเรียนที่อังกฤษ อาจารย์บอกว่าเรื่องการตัดสินอะไรจากภายนอก มันเป็นสัญชาติญาณของสิ่งมีชีวิตที่ใช้ประเมินสถานการณ์ว่าดีหรือร้าย ถ้าดีก็อยู่ ถ้าร้ายเราก็เตรียมสู้ หรือหนีไปเลย ซึ่งคนที่อยู่ข้างหน้านี่แหละเป็นหนึ่งในสถานการณ์รอบ ๆ ตัว ดังนั้นเราประเมินอยู่แล้วโดยอัตโนมัติ แม้แต่ดอกไม้ที่ขึ้นในป่า เขาก็ประเมินว่าตรงนี้ดีหรือร้าย ถ้าดีเขาก็ออกดอกสวยงามสีสวย ๆ แต่ถ้าสภาพโหด ๆ เขาก็ต้องพัฒนาตัวเองให้มีหนามปกป้องชีวิต ดังนั้นการตัดสินอะไรจากภายนอกจึงเป็นเรื่องธรรมชาติในความคิดดิฉัน
MKT Event : คนที่มาเรียนในคลาสได้รับแรงบันดาลใจในการเปลี่ยนแปลงตัวเอง แล้วในทางกลับกันคุณได้รับแรงบันดาลใจจากคนที่มาเรียนบ้างไหม
ทินี : เยอะมากค่ะ เมื่อเร็ว ๆ นี้เพิ่งจะเขียนเรื่องของแบรนด์เนม คิดอยู่นานว่าจะเขียนหรือไม่เขียนดี เดี๋ยวคนหาว่าอาจารย์จะมาสอนใช้แบรนด์เนมอีกหรือเปล่า แต่ไม่ใช่ ที่อยากจะเล่าเพราะมีคนมาหาเราเพื่อให้แนะนำเรื่องไฮเอนด์แบรนด์ เขาบอกว่าอาจารย์ผมพูดง่าย ๆ เลยนะผมมีตังค์ แต่ผมใช้ไม่เป็น และเมื่อก่อนไม่เคยคิดว่าต้องใช้ พอดีมีลูกค้าที่เป็นกลุ่มแบบนี้แล้วรู้สึกว่าเขาคอนเนคไม่ได้ ถึงขนาดลูกค้ายกนาฬิกาแบรนด์เนมให้เขา เขาอายมาก คือเขาเป็นเสี่ยร้อยล้านเลยนะ แต่เขาชอบลุย ๆ ขับรถโฟร์วิลล์ ดิฉันก็รับฟังปัญหา และให้คำแนะนำเรื่องบุคลิกภาพ เรื่องการเลือกแบรนด์เนมให้เหมาะกับไลฟ์สไตล์ แล้วสุดท้ายทำให้เขาสามารถคอนเนคกับกลุ่มลูกค้าได้อย่างราบรื่น ก็เอาเคสแบบนี้มาเล่าสู่กันฟัง นี่ก็คืออินสไปเรชั่นที่ได้จากคนที่มาเรียน
MKT Event : นอกเหนือจากคอร์สเวิร์คชอปต่าง ๆ ที่กำลังทำอยู่ อยากทราบว่าคุณได้วางแผนต่อยอดสร้างโปรดักท์ใหม่ ๆ อะไรเพิ่มอีกไหม
ทินี : ที่คิดเอาไว้ว่าจะทำ คือ ทำคอร์สออนไลน์ รวมถึงการทำคอร์สพอร์ตโฟลิโอของตัวเอง แยกหน้าที่ของแต่ละคอร์สว่าสำหรับทำเงิน สำหรับสร้างให้คนรู้จัก หรือสำหรับไว้เผยแพร่ความรู้ อย่างเช่นในแฟนเพจ Image Inspiration ที่ได้เล่าให้ฟังไป
MKT Event : ข้อดีของการเรียนการสอนแบบคอร์สออนไลน์ที่คุณกำลังจะทำคือเรื่องใด
ทินี : คือก่อนหน้านี้อยากสร้างให้เป็นสถาบัน สร้างอาจารย์ แต่ตอนนี้ต้องคิดใหม่ เพราะเมื่อเราเอาตัวเองเป็นโปรดักต์ จะป่วย สาย ขาด ลา แคนเซิลก็ไม่ได้เลย เขาสมัครมาแล้ว จ่ายเงินมาแล้ว เราก็ต้องสอนตามวันนั้น ยอมรับว่าเหนื่อยมาก ก็เลยมองว่าคอร์สออนไลน์มันก็น่าสนใจเพราะใครๆ ก็เรียนได้ คนที่ไม่ได้อยู่กรุงเทพฯ ก็สอบถามว่าอาจารย์มาจัดที่จังหวัดนี้บ้างไหม ซึ่งจริง ๆ มันไม่คุ้มกับทั้งเราและเขา เพราะไปครั้งนึงมันจะมีค่าใช้จ่ายเยอะแล้วถ้าคนเรียนน้อยทุกคนก็ต้องจ่ายแพงอีก เป็นแบบนั้น บางคนบินมาเรียนที่กรุงเทพฯ ยังคุ้มกว่าเลย ก็เลยคิดว่าคอร์สออนไลน์น่าจะตอบโจทย์
MKT Event : นอกเหนือจากคอร์สออนไลน์ที่บอกไป ทราบว่าคุณยังคิดต่อยอดการฝึกอบรมไปสู่ธุรกิจอีเว้นท์ด้วยใช่ไหม
ทินี : ใช่ค่ะ ตอนนี้กำลังวางแผนอยู่ ซึ่งในเรื่องนี้เราแบ่งเป็น 2 ระดับ ระดับแรก คือสัมมนานี่แหละ เป็นอีเว้นท์ของตัวเอง รูป รส สัมผัสเป็นยังไง มีกิมมิคอะไร นั่นคืออีเว้นท์อย่างนึง อีกระดับนึงก็คืออีเว้นท์ของตัวเองที่จะไปจัดร่วมกับอีเว้นท์อื่น ที่กำลังจะทำอยู่คือผลิตภัณฑ์ความงามแบรนด์หนึ่ง เขาเชิญเราไปบรรยายในงานของเขา โดยเราจะไปพูดเรื่องของบุคลิก ไปร่วมอีเว้นท์กับเขา ก็เลยได้ไอเดียต่อยอดไปคุยกับออแกไนเซอร์ว่าเราสามารถเป็นคอนเทนต์หนึ่งในงานอีเว้นท์ของลูกค้าเขาได้ แล้วก็จะมีกลุ่มที่เป็นคลับต่าง ๆ เช่น พวกคอนโด เขาจะมีเมมเบอร์ของเขา เขาก็จัดเวิร์คชอปให้ลูกบ้านเขาบ่อย ๆ อันนี้เราก็ไปร่วมกับเขาได้เช่นกัน นี่คือสิ่งใหม่ที่วางไว้
MKT Event : สิ่งที่คุณทินีทำอยู่สามารถวัดเป็น KPI หรือวัดเป็นโบนัสออกมาได้ไหม
ทินี : เราก็ไม่ได้ทำงานบริษัทเนอะ ผลประกอบการขึ้น KPI ดี มีโบนัส ทำด้วยตัวเอง ก็ต้องจ่ายให้ตัวเอง (หัวเราะ) เรื่องเงินนั้นดีมาก แต่สิ่งที่ได้เพิ่มเป็นโบนัสทางใจมากกว่า เวลาที่เราเห็นใครที่มาเรียนกับเรา แล้วมันสามารถเปลี่ยนชีวิตเขาได้ อันนี้เราก็ชื่นใจ หรืออย่างในเพจ มีคนอ่านสิ่งที่เราเขียน แล้วคอมเมนต์ว่า “ชอบ” “ติดตามอ่านมาตลอดเลย” “อยากไปเรียนแต่ยังไม่มีโอกาส” แค่นี้ก็รู้สึกว่าสำเร็จแล้วสำหรับดิฉัน ส่วน KPI จะวัดได้หรือไม่ เอาเป็นว่าที่ทำทุกวันนี้จนคนได้ความรู้จากสิ่งที่เราทำ ดิฉันก็มองว่ามันน่าจะเป็น KPI ที่สูงมากแล้วสำหรับชีวิตของดิฉัน