Digital Transformation : โลกเปลี่ยน Brand
ถ้าวันนี้มีใครสักคนเดินไปถามเจ้าของค่ายเพลงว่าชอบโลก “DIGITAL” ไหม???
คำตอบคงออกมาว่าโคตรเกลียดมันเลยวะ ทำอั๊วเจ๊งไปเยอะ
แต่กลับมาถามคนฟังเพลง ว่าชอบโลก DIGITAL ไหม?
คนฟังจะบอกว่าโคตรชอบเลยจ๊ะ ฟังเพลง แถมมีให้เลือกเพียบไปหมด ฟรีอีกต่างหาก
ถ้าวันนี้มีคนเดินไปถามเจ้าของสื่อสิ่งพิมพ์ว่าชอบโลก “DIGITAL” ไหม???
คำตอบคงออกมาว่าโคตรเกลียดมันเลยวะ ทำตูไม่มีที่ทำมาหากิน
แต่กลับมาถามคนอ่านดูดิ ว่าชอบโลก DIGITAL ไหม?
คนอ่านจะบอกว่าโคตรชอบเลยจ๊ะ อ่านฟรีแถมไว และใกล้ชิดนักเขียนได้มากกว่าอีก
พอเห็นอะไรไหม!! ธุรกิจต่าง ๆ ที่เคยรุ่งเรืองแต่ก่อน
กลับถูกวัฒนธรรมของเทคโนโลยีเข้า “ทำลายล้าง” กันไปไม่ใช่น้อย
และกำลังกลืนกินอีกหลากหลายธุรกิจในไม่ช้านี้
ธนาคาร แท็กซี่ โรงแรม ตลาดสด ร้านค้าในห้าง
กำลังได้รับผลกระทบจากกระแสการเปลี่ยนแปลง
ของเทคโนโลยีมากบ้างน้อยบ้าง แบ่ง ๆ กันไป
มองมุมกลับหัวว่าเจ้าของแบรนด์ทั้งหลาย
อาจไม่ชอบการเกิดมาของโลก DIGITAL
แต่ “ผู้บริโภคกลับชอบ” นั่นแหละ Key สำคัญของเรื่องนี้!!
ถ้า Brand เข้าใจเรื่องนี้ ถึงเราไม่ชอบ
แต่ “คุณลูกค้าที่น่ารัก” ของเราชอบ
เราไม่มีทางให้เลือกมากนัก
ถ้าไม่เปลี่ยน .. Brand ก็ตาย
เพราะถ้าไม่เปลียนมาเป็น Digital คนเขาก็ไม่ต้องการ
แล้วแอบกระซิบอีกเรื่องหนึ่งว่า คุณลูกค้าที่น่ารัก
โคตร “ใจร้อน ด่วนได้ เปลี่ยนใจเร็ว”
ครบสูตรเลยที่เจ้าของแบรนด์ ร้องจ๊าก!!!
เพราะในตำราการทำแบรนด์บอกว่าลูกค้าแบบนี้
ไม่มีความภักดีต่อแบรนด์ เสียเงินดูแลมาก
สู้มาดูแลกลุ่มลูกค้าที่ภักดี ดีกว่า
แต่วันนี้คุณไม่มีทางเลือกมากนัก
เพราะคุณลูกค้าที่น่ารัก เป็นอย่างนี้ไปเกือบหมด
ยิ่งกลุ่มลูกค้าอายุน้อยเท่าไหร่ ก็ยิ่งเป็นมากเท่านั้น
ยุคนี้บอกให้ .. Brand Loyalty ใกล้เคียงค่าศูนย์เข้าไปทุกที
ขนาดเจ้าพ่อ Brand อย่าง Apple ก็ยังเหนื่อย
เจ้าพ่อ Brand อย่าง Starbucks ถือว่ายังดี
แต่ก็เหนื่อยมากไม่แพ้กัน ที่จะครองเบอร์หนึ่งให้ได้
ไม่ต้องพูดถึง Brand เล็ก ๆ Brand น้อยๆ ต่างๆ
Loyalty ใกล้เคียงค่าศูนย์เอามาก ๆ
“หากจะรอด ต้องเปลี่ยน หากจะขึ้นที่หนึ่ง ต้อง “ล้ำ” ไปข้างหน้า
Brand ยุคนี้ต้อง Transformation ตัวเองเข้าไปอยู่ในโลกของ Digital ให้ได้”
แล้วไม่ใช่บอกว่าฉันมี Website แล้ว
มี Facebook, IG, Line@, App ฉันมาอยู่ในโลก Digital แล้ว
อันนี้ไม่ใช่แล้วนะจ๊ะ!!!!
การเปลี่ยน Brand ให้เป็น Digital นั้น
มันต้องเปลี่ยนจาก “ข้างใน” ให้พูด ให้คิด ให้ทำเป็น Digital ให้หมด
เมื่อเปลี่ยนข้างในได้ จะเปลี่ยนสู่ข้างนอกได้ในไม่ช้า
เหมือนคำกล่าวว่า คนเราจะเปลี่ยนอะไร ให้เริ่มจาก “Mindset” ก่อนเสมอ
เมื่อ “ความคิด” เปลี่ยน การ “กระทำ” ก็จะเปลี่ยนตาม
การเปลี่ยน Brand สู่ Digital ก็ไม่ต่างกัน
สิ่งแรก ๆ ที่จะต้องทำ คือการสร้าง Digital Mindset ให้กับ Brand
ซึ่ง Brand เอง ก็ต้องมาจากคนทำ Brand ซึ่งก็ไม่ใช่แค่นักการตลาด
เพราะการทำ Brand จริง ๆ มันคือคนทั้ง “องค์กร” มีส่วนร่วมกันทั้งนั้น
ซึ่งการเริ่มต้นในการทำ Brand Transformation สู่โลกดิจิตอลนั้น!!!
ต้องเริ่มต้นจาก..การจริงจังในการทำ
บางแบรนด์รู้นะว่าต้องทำ แต่ตั้งโครงการไว้
หรือ พูด ๆ ๆ ว่า ต้องเปลี่ยนเป็น Digital นะ
พอเอาเข้าจริง ๆ ก็ได้แต่พูด แล้วก็ให้ IT บล็อค Facebook, Youtube เหมือนเดิม
บอกว่าเสียเวลาทำงาน ต้องทำแต่งาน ห้ามยุ่งกับโลก Digital เด็ดขาด
อันนี้แบบว่าได้แค่พูด เอาเข้าจริง ใจยังเป็น Analog อยู่ .. แบบนี้ก็เปลี่ยนยาก
ถ้าจะเปลี่ยนจริง ๆ .. ให้ใช้ Mindset นี้เลย
“ไม่ทำ Brand Transformation ให้เสร็จภายใน 1 ปี เราตายแน่”
ให้คิดแบบนี้เลย เพราะถ้าไม่ทำ มีแต่ตายไม่ช้าก็เร็ว
แล้วบอกให้ โลกดิจิตอล มันทำร้ายคุณเร็วมากกว่าที่คุณคิด
ดูเป็นการคิดในแง่ลบเกินไป
ก็จริงเลยที่ให้คิดลบไว้ก่อน
เพราะถ้าเราไม่ทำจริง ๆ จัง ๆ ไม่พร้อมรับมือไว้จริง ๆ
เจอ Digital Disrupt (การที่ดิจิตอลเข้าทำลายธุรกิจเดิม) วันไหน
จะเจ๊งเหมือนกับ ธุรกิจฟิล์ม นิตยสาร วันใด วันหนึ่งก็ไม่รู้
ดังนั้นต้องเริ่มทำตั้งแต่วันนี้!!!
เพราะกว่าจะ Transformation ได้จริงมันใช้เวลา
ไม่ใช่ สั่งวันนี้ พรุ่งนี้ได้ ไม่มีทาง
จึงต้องคิดไว้เลยว่า ถ้าไม่ทำ Brand transformation เราตายแน่นอน!!!!
เมื่อเราคิดว่าต้องทำ!!! เราต้องให้เวลาในการทำมันอย่างจริงจังมาก
วันนี้คุณลูกค้าที่น่ารักของเราใจร้อนมาก ๆ ๆ ๆ ต้องเดี๋ยวนี้เท่านั้น
แบรนด์ของเรา ไม่ว่าจะเป็นสินค้า หรือ บริการ
ต้องเร็วเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าให้ได้!!!
หันกลับมาถามตัวเองว่าที่มันช้า มันคือตรงไหน
ทำอย่างไรให้เร็วขึ้น ใช้เทคโนโลยีช่วยตรงไหนได้ไหม
ขั้นตอนไหนไม่จำเป็น ตัดทิ้งได้ไหม
แล้วทำอย่างไรให้ผลเท่าเดิม แต่งานเร็วขึ้น
จงวิเคราะห์แล้วพยายามทำ รีบคุย รีบทำ
ระยะเวลาในการให้ลูกค้ารอ
ยิ่งนานเท่าไหร่ การตัดสินใจเปลี่ยน Brand ของลูกค้ายิ่งสูงขึ้นเท่านั้น
ดังนั้น ต้องทำอย่างไรก็ได้ ให้เร็วยิ่งขึ้นไปอีก
แต่ยังคงคุณภาพ อย่างน้อยคือเท่าเดิม และพัฒนาให้คุณภาพดียิ่งขึ้นไปอีก
ต้องรีบตั้งคำถามว่า ขั้นตอนเหล่านี้ “ทำไปทำไม”
แล้วคำตอบ ถ้ามีคนตอบว่า เมื่อก่อนเคยทำกันมาอย่างนั้น
ให้ถามกลับว่า แล้วเขายังใช้แบบนี้อยู่ไหม ถ้าไม่ ให้เลิกทำ
แล้วหาทางที่ได้ผล แต่ง่ายกว่า เร็วกว่า
หันมาทำบนโลก Digital ให้หมด
วิธีการต่อมา จงปลอมตัวเป็น “ลูกค้าของคุณเองดู”
แล้วอย่าลำเอียงเข้าข้างตัวเอง จงคิดแบบลูกค้าจริง ๆ
ว่าแบรนด์ของคุณทำอะไรให้ ”คุณลูกค้าหงุดหงิด” บ้าง
ต่อคิว 1 ชั่วโมง เพื่อการรับบริการ 3 นาที
โทรศัพท์ไปหา โยนกันไปโยนกันมา ไม่รู้เรื่องเสียที
ซื้อสินค้าไปแล้วเสีย ไม่รับผิดชอบ ไม่รู้แจ้งที่ไหน ยังไง
สินค้าไม่ดี ไม่ตรงกับความคาดหวังของลูกค้า ที่เสียเงินซื้อมา
ถามว่าทำไมต้องทำ???
ถ้าคุณไม่ทำ คุณไม่แก้ แล้วคุณเจอ Pantip เข้าไปที
เงิน เวลา ที่คุณสร้างแบรนด์กันมามากมาย
อาจจะสูญหายไปกับคนตั้งกระทู้ใน Pantip เพียงไม่กี่ครั้ง
ดังนั้นจะถามว่า “ลูกค้าหงุดหงิดแบรนด์เราตรงไหน”
เจอข้อไหน ให้แก้ข้อนั้น .. จะแก้ด้วยการใช้ Digital แก้
หรือ จะไม่ใช้ Digital แก้ ก็ต้องทำ
ไม่เช่นนั้นโลก Digital อย่างในปัจจุบัน จะกลับมาทำร้ายแบรนด์ของคุณเอง
โดยจัดลำดับความหงุดหงิด แล้วแก้จากลำดับมากไปน้อย
รีบทำ รีบแก้ ให้เสร็จ ภายใน 1 ปี เพราะเราไม่รู้ว่าเราจะงานเข้าตอนไหน
เมื่อรู้ว่ามีปัญหาที่จะทำให้ลูกค้าเราหงุดหงิด
จงสร้าง “สายสืบ Digital” ให้แบรนด์ของคุณเอาไว้
ไม่ต้องจากคนใหม่ หรือ ซื้อระบบอะไรให้วุ่นวายก็ได้
หรือถ้ามีงบประมาณก็จัดไป
หน้าที่สายสืบ มีไว้สอดส่องว่า เพื่อนเราในโลกดิจิตอล
พูดถึงแบรนด์ของเราอย่างไรบ้าง ดี ร้าย อย่างไร
รีบแจ้ง รีบบอกกันในองค์กร
เมื่อรู้เมื่อทราบให้รีบจัดการแก้ไขให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้นะจ๊ะ
วันนี้พอหอมปากหอมคอ
เอาไว้แค่นี้ก่อน เอาไว้อ่านต่อฉบับหน้า
เพราะถ้าจะเขียนวิธีกันจริง ๆ หนังสือเป็นร้อยหน้าก็ไม่จบ
ตามต่อเล่มหน้านะจ๊ะ