Change The Future With The Power of Movie
ผมมีโอกาสสัมภาษณ์ โหน่ง–วงศ์ทนง ชัยณรงค์สิงห์ หลังจากที่เขาเพิ่งว่างเมื่อ ‘The Down- เดอะ ดาวน์ เป็นคนธรรมดามันง่ายไป’ ภาพยนตร์สารคดีเรื่องแรกในชีวิตที่เขากำกับได้ลงโรงฉายเป็นที่เรียบร้อย
วงศ์ทนงจึงเปิดให้เราเข้าไปนั่งพูดคุยอย่างใกล้ชิดภายในห้องทำงานส่วนตัวบนออฟฟิศใหม่ของบริษัท ‘เดย์ โพเอทส์’ บ้านหลังใหญ่ของนิตยสาร ‘a day’ และสำนักพิมพ์ ‘a book’
ในวันนั้นเราคุยกันถึงเรื่องของอนาคตที่วงศ์ทะนงกำลังครุ่นคิดถึงมากที่สุด เรื่องของการใช้ชีวิตอย่างพิถีพิถันที่เชื่อมโยงกับการตั้งมั่นอยู่กับปัจจุบัน รวมถึงเรื่องบทบาทการเป็นผู้กำกับภาพยนตร์ซึ่งเป็นงานใหม่ที่พาชีวิตของเขาก้าวออกมาจาก Comfort Zone ในช่วงวัยนี้
โดยเฉพาะในประเด็นเรื่องการทำหนังดูเขาจะมีความสุขมากเป็นพิเศษเมื่อได้พูดถึง ผมสังเกตได้จากประกายตาและน้ำเสียงสดชื่นที่เขาเน้นย้ำให้เราได้รับรู้ถึงพลังแห่งการเปลี่ยนแปลงทัศนคติเพื่อสร้างสังคมให้ดีขึ้นโดยมีภาพยนตร์เป็นเครื่องมือสื่อกลาง ซึ่งบางช่วงบางตอนในคำพูดเขาทำให้ผมนึกถึงคำพูดของ ฮายาโอะ มิยาซากิ ผู้ก่อตั้ง ‘Ghibli Studio’ ที่ว่า
“ผมเชื่อในพลังของการเล่าเรื่อง เพราะเรื่องราวเป็นสิ่งสำคัญในกระบวนการแสดงบทบาทของความเป็นมนุษย์ มันสามารถกระตุ้นสร้างความตกตะลึงและจุดชนวนแห่งแรงบันดาลใจให้ผู้ฟังได้”
นอกเหนือจากการเปลี่ยนแปลงทัศนคติที่หนังเรื่อง เดอะ ดาวน์ สร้างขึ้น มากกว่านั้นพลังของมันยังสามารถเปลี่ยนเคมีทางความคิดบางอย่างที่อยู่ลึกลงในระดับจิตใจของวงศ์ทนงได้อย่างลึกซึ้งเช่นกัน
จนทำให้วันนี้มุมมองเรื่องความคิดและจิตวิญญาณของเขาเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่อีกครั้งนั่นเอง และที่คุณกำลังจะได้อ่านเป็นเนื้อหาทั้งหมดของการพูดคุยวันนั้น
MKT Event : ในช่วงวัยนี้ของคุณคำว่า ‘อนาคต’ ที่มองเห็นมีรูปแบบอย่างไร
วงศ์ทนง : ตอนเด็ก ๆ คำว่า ‘อนาคต’ มันไกลมากถึง 10-20 ปีข้างหน้าเลย แต่ตอนนี้ผมพบว่าตัวเองไม่คิดถึงอนาคตไกลมากแบบนั้นอีกแล้ว อนาคตในความหมายอาจจะเป็นอีกหนึ่งชั่วโมงถัดไป หรือเพียงแค่วันพรุ่งนี้เท่านั้น ที่เป็นแบบนี้คงเป็นกระบวนการทางธรรมชาติในตัวที่ในช่วงวัยหนึ่งมีพลังล้นเหลือ เราก็มักจะคิดหรือมองอะไรไกลมาก ๆ ด้วยความหวัง ความฝันที่อยากประสบความสำเร็จ แต่ตอนนี้ผมผ่านสิ่งที่ผมหวังผมฝันมามากมายแล้วเพราะฉะนั้น ‘อนาคต’ ของผมในวันนี้มันจึงเป็นเพียงเรื่องง่าย ๆ ที่ใกล้ตัวมาก
MKT Event : ถ้าอนาคตคือเรื่องใกล้ตัว สิ่งที่คุณให้ความสำคัญมากที่สุดคือสิ่งไหน
วงศ์ทนง : ชีวิตคนเราจะประกอบขึ้นจากชิ้นส่วนหลัก 3 ชิ้น คือ อดีต ปัจจุบัน และอนาคต อดีตที่ผ่านเลยก็ผ่านไปเราไม่สามารถแก้ไขอะไรได้ เป็นเพียงบทเรียนในการใช้ชีวิตเท่านั้น ส่วนอนาคตนั้นเป็นเรื่องที่ยังมาไม่ถึง แต่สิ่งที่เราสามารถทำมันได้เลยคือปัจจุบัน ผมจึงให้ความสำคัญกับปัจจุบันมาก ให้ความสำคัญกับแต่ละวันที่ผ่านไป เรียกว่าใช้ชีวิตให้พิถีพิถันมากที่สุดนั่นเอง
MKT Event : ความพิถีพิถันที่ว่า คุณสามารถอธิบายให้เราเห็นภาพได้ไหม
วงศ์ทนง : ผมจะตัดสิ่งที่มันรุงรังและไม่จำเป็นในชีวิตออกให้มากที่สุด อย่างเช่นการเสพข้อมูลข่าวสารอย่างบ้าคลั่ง ซึ่งมาถึงจุดหนึ่งผมรู้สึกว่าข้อมูลเหล่านั้นมันมีประโยชน์กับชีวิตน้อยมาก พูดง่าย ๆ ตาข่ายการกรองข้อมูลข่าวสารวันนี้ของผมจะถี่มาก เลือกรับรู้เอาเฉพาะเรื่องที่ให้ความสนใจกับมันจริง ๆ
MKT Event : เรื่องที่เป็นประโยชน์ที่ว่านั้นคือเรื่องใด
วงศ์ทนง : สิ่งที่ผมสนใจตอนนี้ก็คือเรื่องความเป็นไปของโลก เรื่องสิ่งแวดล้อม เรื่องภาวะทางสังคมทางการเมือง แต่สิ่งหนึ่งที่สนใจมากที่สุดก็คือมิติอันซับซ้อนในตัวมนุษย์ เพราะเรื่องดีงามเลวร้ายทั้งหมดต้นเหตุมาจากใจคนทั้งนั้นเลย ในอีกแง่หนึ่งผมยังสนใจความแตกต่างของคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนบางกลุ่มที่เขามีชีวิตอยู่จริงในสังคม แต่พวกเรามักจะมองข้ามไปนั่นเป็นที่มาที่ทำให้ผมทำหนังเรื่อง ‘เดอะ ดาวน์’ ขึ้นมา
MKT Event : สิ่งที่กระทบกับความรู้สึกของคุณมากที่สุดเกี่ยวกับชีวิตของเด็กดาวน์ซินโดรมคือประเด็นไหน
วงศ์ทนง : ผมคิดว่ามันยังมีบางอย่างที่มันยังไม่ถูกไม่ควรเท่าไหร่ ยกตัวอย่างเช่น สายตาและความรู้สึกของคนในสังคมที่มองคนแบบนี้ว่าไม่ปกติ ทั้งคนพิการหรือคนที่บกพร่องทางสติปัญญา เรามีลักษณะของการเหมารวมอย่างหนึ่งที่เรียกว่า Stereotype มากอย่างเช่นคนเป็นดาวน์ซินโดรมความเชื่อของหลาย ๆ คนคิดว่าเขาปัญญาอ่อนซึ่งความจริงแล้วมันไม่ใช่ แต่ด้วยความที่เรารู้น้อยไปก็เลยรีบด่วนสรุป เมื่อสัมผัสด้วยตัวเองก็พบว่าเรายังเข้าใจคนกลุ่มนี้น้อยมากซึ่งไม่ใช่เฉพาะคนพิการนะครับ แม้กระทั่งคนต่างชาติในเมืองไทย เช่น คนลาว คนพม่า คนเขมร คนเวียดนาม มันก็ยังมีอะไรหลาย ๆ อย่างที่เราถูกปลูกฝังความเชื่อกันมาแบบผิด ๆ ถูก ๆ ผมว่าเรื่องพวกนี้ควรจะได้รับการเปลี่ยนแปลง
MKT Event : ถ้าจะแก้มุมมองผิด ๆ เหล่านี้ให้ดีขึ้น เรื่องใดควรได้รับการเปลี่ยนแปลงมากที่สุด
วงศ์ทนง : การเปลี่ยนแปลงที่เป็นรูปธรรมที่สุดยิ่งกว่าการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ทั้งปวงคือการเปลี่ยนแปลงความคิดความเชื่อ อันเป็นตัวกำหนดทัศนคติที่เรามีต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ดังนั้นต้องสืบสาวไปถึงจุดตั้งต้นที่ต้องเปลี่ยนก็คือเปลี่ยนความคิดความเชื่อ มันจะส่งผลไปถึงการเปลี่ยนแปลงอย่างมหาศาลในอนาคต
MKT Event : เมื่อหนังฉายออกไป ความคิด และทัศนคติที่มีต่อเด็กดาวน์ฯ เป็นไปคุณอย่างที่ตั้งใจไว้ไหม
วงศ์ทนง : ผมเจอกับอาจารย์ที่โรงเรียนพิบูลประชาสรรค์ ซึ่งสอนเด็กดาวน์ซินโดรมและเด็กออทิสติก ท่านเดินมาขอบคุณผมที่สร้างหนังเดอะดาวน์ฯ ขึ้นมาเพราะมันทำให้คนเปลี่ยนความคิดเกี่ยวกับสภาวะนี้ ทั้งคนที่มีลูกเป็นดาวน์ซินโดรมว่ามันไม่ใช่เรื่องโชคร้ายของชีวิต ไม่ใช่เรื่องเคราะห์กรรมมันเป็นธรรมชาติก็แค่การป่วยไข้ชนิดหนึ่งที่สามารถเยียวยารักษาได้ รวมถึงเนื้อหาของหนังทำให้สายตาของคนข้างนอกมองคนกลุ่มนี้เปลี่ยนไปว่าเขามีศักยภาพมากกว่าที่เคยคิดเคยเชื่อกันแบบผิด ๆ
MKT Event : นั่นคือพลังการสื่อสารที่ภาพยนตร์สามารถทำได้อย่างฉับพลันใช่ไหม
วงศ์ทนง : ใช่ครับ พลังมันเยอะมากจริง ๆ จนทำให้วันนี้บทบาทของตัวผมเปลี่ยนไป จากคนทำสื่อสิ่งพิมพ์ซึ่งมันก็ไม่ใช่เรื่องท้าทายในชีวิตอีกแล้ว ไปสู่คนทำหนังสารคดี แต่ผมยังรักในสื่อสิ่งพิมพ์อยู่นะครับ เพราะมันประกอบด้วยหลายอย่างที่ทั้งความคิด การออกแบบ มันเหมือนเป็นงานคราฟต์ชนิดหนึ่งที่ผมยังชอบอยู่ เพียงแต่ตอนนี้ติดใจภาพยนตร์มากกว่า
MKT Event : คุณตั้งความสำเร็จของการทำหนังไว้ประมาณไหน
วงศ์ทนง : คือความสำเร็จมันต้องเกิดขึ้นจากตัวคุณค่าของตัวหนังเอง และคุณค่าที่มันจะอยู่ได้ด้วยตัวมันเองในเชิงธุรกิจ ต้องเข้าใจก่อนว่าที่ผมคิดแบบนี้เพราะด้านหนึ่งผมเป็นนักธุรกิจนะครับ บางคนอาจไม่รู้ ไม่อย่างนั้นผมไม่ทำ a day มาได้ตั้ง15 ปี ผมไม่มีอคติกับการทำธุรกิจเลย มากกว่านั้นเข้าใจว่ามันสำคัญด้วยซ้ำเพราะว่าธุรกิจมันเป็นอีกฟากหนึ่งที่เราต้องดูแลเพื่อที่จะสามารถทำงานที่เรารักได้อย่างยั่งยืน ดังนั้นมันคือการบาลานซ์ การรักษาความคิดความฝันที่จะทำสิ่งดี ๆ ไว้กับการดำรงอยู่ให้ได้ในเชิงธุรกิจ
MKT Event : ในฐานะการเป็นผู้กำกับมือใหม่คุณศึกษาหาความรู้ในการกำกับภาพยนตร์ด้วยวิธีไหน
วงศ์ทนง : ใช้การดูหนังนี่แหละครับ ผมดูหนังเยอะมาก ผมดูมาตั้งแต่เด็กแล้วแต่ผมไม่เลือกหนังแบบกระแส หนังดัง ๆ หนังยอดมนุษย์ผมไม่ดูแล้ว (หัวเราะ) แต่ผมชอบดูหนังเล็ก ๆ ที่ให้ความคิด แล้วอีกอย่างผมก็ยังอ่านหนังสือเยอะมากอยู่เหมือนเดิม อ่านหนังสือเหมือนกินข้าวเลยอ่านเป็นชีวิตประจำวัน ทั้งหมดพอมาบวกเข้ากับต้นทุนที่มีอยู่ในหัว ก็เลยทำให้สามารถเรียนรู้เรื่องเหล่านี้ได้
MKT Event : ภาพยนตร์ประเภทไหนที่คุณชอบดูมากที่สุด
วงศ์ทนง : ผมชอบดูคือหนังสารคดี (Documentary Movie) ทุกครั้งที่มีการประกาศรางวัลออสการ์ 2 รางวัลที่ผมให้ความสำคัญมากคือ 1. หนังสารคดี 2. หนังภาษาต่างประเทศยอดเยี่ยม ทั้ง 2 สาขานี้มักจะเป็นหนังดีทุกปีให้ผมต้องขวนขวายหามาดูมากกว่าหนังที่ได้รางวัลยอดเยี่ยมในปีนั้นอีกนะ
MKT Event : แต่คนส่วนใหญ่มักจะมองว่าหนังสารคดีมันน่าเบื่อ
วงศ์ทนง : คือหนังสารคดีถ้าพูดกับคนไทยมันเหมือนมีมุมมองบางอย่างที่ปิดกั้นอยู่ ทั้งไม่สนุก ดูยาก ไม่เข้าใจ น่าเบื่อ เอื่อยเฉื่อย แต่จริง ๆ ถ้าใครได้ดูจะพบว่าโลกนี้มีหนังสารคดีสนุก ๆ เยอะมาก ผมเลยตัดสินใจทำ ‘เดอะ ดาวน์’ แล้วประกาศว่ามันจะเป็น ‘Documentary Movie’ ทั้ง ๆ ที่หลาย ๆ คนทักท้วงว่า “เฮ้ย! โหน่ง พูดว่าหนังสารคดี มันจะจำกัดกลุ่มเกินไปไหม”
MKT Event : แล้วอะไรทำให้คุณกล้าที่จะพูดออกไปแบบนั้น
วงศ์ทนง : เพราะมันคือความตั้งใจที่อยากจะเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างในสังคม คือถ้าผมตั้งใจจะทำหนังเอารายได้ตั้งแต่แรก ผมคงไม่ทำหนังดาวน์ซินโดรมหรอก เพราะฉะนั้นเรื่องเงินมันไม่ใช่ Priority แรก จุดประสงค์คือผมอยากทำหนังที่เปลี่ยนแปลงความคิดของผู้คนและสังคม แล้วผลตอบรับมันเป็นอย่างนั้นจริง ๆ นะ ผมรู้สึกว่าผมทำได้ตรงเป้าที่ตั้งใจไว้
MKT Event : นอกเหนือจากการทำได้ตามเป้าหมายที่ตั้งใจ หนังเรื่องนี้ให้ความคิดอะไรกับคุณเพิ่มเติมอีกบ้าง
วงศ์ทนง : คือในด้านการทำหนัง ‘เดอะ ดาวน์’ มันตอกย้ำตัวผม จะเรียกว่าเป็นอุดมการณ์หรือความเชื่อก็ได้ อย่างที่บอกว่าผมเชื่อในพลังของสื่อฯ ผมมุ่งมั่นตั้งใจที่จะทำสื่อให้ดีมีคุณค่าต่อสังคม การได้เคลื่อนย้ายตัวเองออกมาจากพื้นที่สื่อเดิม ๆ มายังสื่อภาพยนตร์ที่ไม่เคยทำมาก่อนแล้วทำได้ออกมาสำเร็จ ผมคิดว่าในแง่นึงมันเป็นตัวตอกย้ำว่าผมคิดถูก ผมทำถูกผมทำได้ มันก็ชื่นใจ ที่สำคัญก็คือมันทำให้ผมได้รู้ฮาวทูของการสร้างภาพยนตร์ ผมคิดไปถึงการสร้างรูปแบบภาพยนตร์อีกแบบหนึ่ง ซึ่งเป็นหนังไซส์ S ที่สามารถได้กำไรทันทีตั้งแต่ลงมือสร้าง
MKT Event : หนังสารคดีที่มีแต่คนเบื่อสามารถทำแบบนั้นได้ด้วยหรือ
วงศ์ทนง : ทำได้สิ คือ ‘เดอะ ดาวน์’ นี่ได้กำไรตั้งแต่หนังยังไม่ฉายนะ คุณอาจไม่เชื่อแต่มันเป็นวิธีบริหารจัดการทางธุรกิจของผมและเพื่อน ๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสปอนเซอร์ คือผมขายทีเดียวเป็น 2 โปรเจกต์เลย ขายเป็นภาพยนตร์อันแรกและมีสปอนเซอร์หลักสนับสนุนภาพยนตร์ก็ได้เงินมา อีกขาหนึ่งผมเสียดายซอร์สดี ๆ ที่เราไปถ่ายมาปีหนึ่ง ก็เลยเอาไปขายทำเป็นรายการโทรทัศน์ จะฉายในเดือนมกราคมนี้ คือท้ายที่สุดมันก็คือการใช้สิ่งที่เรามีอยู่ให้คุ้มนึกออกไหม คือคุ้มค่าทั้งคนที่สนับสนุนเรา คุ้มค่ากับคนที่ซื้อเราไปออกสื่อฯ นี่เป็นโมเดลที่ผมค้นพบจากการทำหนังเรื่องนี้ ทั้งหมดมันเปลี่ยนความคิดของผมที่เคยได้ยินมาเกี่ยวกับธุรกิจหนังที่บอกว่ามีคนเจ๊งเพราะการทำหนังมาเยอะ ซึ่งไม่จริงเลย ผมเชื่อเรื่องวิธีคิดมาก ๆ ทำให้ดีทำให้โดน ทำให้ได้เงิน ทำได้ ผมเชื่อว่าผมมีสูตรของการทำให้ได้ทั้งเงินทั้งกล่อง จะเรียกว่าเป็นสูตรก็ได้แล้วผมก็ลองทำซ้ำแล้วซ้ำเล่ามาหลายปี
MKT Event : แสดงว่าโลกธุรกิจเอาเข้าจริงมันก็ไม่ได้โหดร้ายเสมอไปใช่ไหม
วงศ์ทนง : เบื้องต้นคุณอย่าอคติกับมัน ไม่อย่างนั้นคุณจะไม่สามารถเติบโตมาทำอะไรได้มากมายเท่านี้ ผมก็คงทำนิตยสารเล็ก ๆเล่มเดียว ผมไม่มีอคติกับโลกธุรกิจเลย แต่คุณจะต้องเข้าใจมันแล้วก็รู้วิธีบริหารจัดการมัน
MKT Event : เหมือนกับการขี่ม้าพยศ เรามีหน้าที่ต้องบาลานซ์ตัวเองให้ดี
วงศ์ทนง : ใช่ ๆ คุณเปรียบเทียบได้ดีเลยนะ แต่ในแง่หนึ่งถ้าบอกให้ตรงกว่านั้นคือคุณต้องเป็นคนแบบผมที่ไม่มีจุดประสงค์ว่าจะเป็นมหาเศรษฐีนึกออกไหม คือถ้าผมอยากรวยมาก ๆ ผมทำอย่างนี้ไม่ได้ ผมจะคิดอีกแบบหนึ่ง แต่ความรวยไม่ได้เป็นเป้าหมายหลักในชีวิตของผม มันเป็นเป้าหมายที่มีความสำคัญอันดับท้าย ๆ ด้วยซ้ำ มายด์เซ็ตนี้สำคัญมากเลย ชีวิตผมทุกวันนี้ตั้งไว้ที่ความสุข ไม่ได้ต้องการรวยอะไรอีกแล้ว
MKT Event : ซึ่งคุณเองก็ใช้มายด์เซ็ตแบบนี้ มาเป็นส่วนหนึ่งในการบริหารงานส่วนอื่นด้วย
วงศ์ทนง : ใช่ครับ ผมใช้ความสุขเป็นที่ตั้งก่อนเสมอ อย่างงานของผมทำอยู่ตอนนี้ผมคิดว่าถ้าเปรียบเป็นทีมฟุตบอล ผมเป็นเหมือนโค้ช ซึ่งถ้าย้อนกลับไปเมื่อ 15 ปีที่แล้วผมเป็นโค้ชที่ใส่ชื่อตัวเองเป็นผู้เล่นด้วย แต่พอระยะหนึ่งผมรู้สึกว่าวิ่งไม่ไหว 90 นาที ดังนั้น 7-8 ปีให้หลังมานี้ผมเลยเปลี่ยนตำแหน่งตัวเองมาอยู่ข้างสนามอย่างสมบูรณ์เลย เป็นผู้จัดการทีมที่คอยวางแผนการเล่นให้พวกเขาก็เถียงกับกรรมการบ้าง เปลี่ยนตัวผู้เล่นบ้าง ผมเป็นโค้ชให้กับหนังสือนิตยสารและกิจกรรมทุกอย่างที่อยู่ในบริษัทฯ ผมจะตั้งต้นสร้างมันจากความสุขที่ได้ทำทั้งสิ้น นี่รวมถึงงานอื่น ๆ ด้วยนะ อย่างลงมาคลุกฝุ่นทำหนังเองก็รู้สึกสนุก สดชื่นหัวใจกระชุ่มกระชวยดี
MKT Event : ในปีหน้าเราจะได้เห็นงานรูปแบบใหม่จากวงศ์ทนงเพิ่มเติมอีกหรือไม่
วงศ์ทนง : ปีหน้าผมจะตั้งยูนิตนึงขึ้นมาอยู่ในบริษัทชื่อ ‘a day Studio’ เป็นยูนิตที่สร้างงานวิชั่นต่าง ๆ ไม่ได้จำกัดเฉพาะรายการโทรทัศน์หรือภาพยนตร์ อาจจะเป็นคลิปหรือว่าเป็นอะไรที่มันเป็นภาพเคลื่อนไหว ส่วนจะไปออกสื่ออะไรก็ดูตามความเหมาะสม ผมคิดว่าสื่อด้านวิชั่นมีโอกาสที่จะไปได้เยอะกว่า ในขณะที่สื่อสิ่งพิมพ์ถนนอาจจะเเน่นและสั้นลง แต่ผมยืนยันผมไม่เลิกทำสื่อสิ่งพิมพ์นะอย่างที่บอกผมรักมัน พวกเราชอบมันก็เลยคิดว่ามีคนที่ชอบเหมือนเราอยู่
MKT Event : สุดท้ายถ้าจะให้แนะนำคนรุ่นใหม่ในการพัฒนาตัวเองให้ประสบความสำเร็จ คุณมีสิ่งใดอยากจะบอกกับพวกเขา
วงศ์ทนง : สิ่งที่ผมอยากจะบอกคนรุ่นใหม่ก็คือคุณต้องสร้างสมตัวเอง ถ้าคุณอยากแข็งแรงโดยอัดวิตามินเข้าไปมันก็เป็นไปได้ แต่คุณไม่แข็งแรงอย่างยั่งยืนหรอก เพราะฉะนั้นมีวิธีเดียวคือคุณต้องฝึกหนัก และผมเชื่ออย่างหนึ่งที่ว่า การวัดคนไหนเก่งจริงหรือไม่ ก็คือการยืนระยะได้นานแค่ไหน ผมเห็นบ่อยนะที่คนยุคนี้มาปุ๊บนึงแล้วไป ไม่เห็นมีใครที่เป็นไอดอลหรือไอคอนได้แบบยั่งยืนในสายใดสายหนึ่งสักเท่าไหร่เลย ผมก็คาดหวังว่าคนรุ่นใหม่เหล่านี้จะไม่รีบร้อนที่ประสบความสำเร็จเร็วเกินไปนะ มีความอดทนรอคอยความสำเร็จบ้างแล้วก็อย่าไปอคติความล้มเหลว ผมเชื่อว่าความล้มเหลวมันสอนชีวิตได้ดี อาจจะมากกว่าความสำเร็จด้วยซ้ำ ผมเชื่อแบบนั้น
Text : Boonake A.
Photo : Wiriya L.