Top

The Phenomenon Creator

The Phenomenon Creator

ผมเชื่ออยู่เสมอว่าปัญหาและอุปสรรคต่าง ๆ ที่ถั่งโถมเข้ามาในชีวิต คือยาดีที่ช่วยเพิ่มภูมิต้านทาน สร้างความแข็งแกร่งแก่หัวจิตหัวใจในการเผชิญหน้ากับสิ่งต่าง ๆ ในชีวิตไม่ว่าจะดีหรือร้ายเพียงใด

            บางสิ่งบางอย่างยิ่งตอกย้ำให้ความเชื่อดังกล่าวแน่นหนามากขึ้นไปอีกเมื่อผมได้มีโอกาสนั่งพูดคุยกับชายหนุ่มที่คนทั่วไปต่างรู้จักเขาเป็นอย่างดี

  ‘วินิจ เลิศรัตนชัย’ ดีเจชื่อดังระดับตำนาน, พิธีกร, นักแสดง, นักธุรกิจในอุตสาหกรรมคอนเสิร์ต, กรรมการบริหาร บริษัท ทราฟฟิกคอนเนอร์ และสรุปสุดท้ายด้วยตำแหน่งซีอีโอของ บริษัท เฟรชแอร์ เฟสติวัล  จำกัด

            ทำไมผมถึงบอกว่าการพูดคุยที่เข้าเปิดโอกาสให้เราได้ซักถามในหลากหลายเรื่องถึงทำให้ผมเกิดความคิดเช่นนั้นได้

คำตอบของมันมาจากความเข้มข้นที่เกิดขึ้นจากบทเรียนในเนื้องานที่ผ่านเข้ามาในชีวิต อันเป็นงานใหญ่ระดับยักษ์ด้านโปรดักชั่นที่เต็มไปด้วยปัญหาและอุปสรรคมากมาย ท้าทายให้ชายหนุ่มต้องแก้ไขให้ลุล่วง และคุณเชื่อไหมวินิจสามารถแก้ไขให้มันผ่านไป จนทำให้ทุกชิ้นงานของเฟรชแอร์ฯ เป็นปรากฎการณ์ยิ่งใหญ่ที่สามารถตรึงความสนใจในสังคมได้อย่างอยู่หมัดแทบจะทุกงาน

ในการพูดคุยครั้งนี้เขาแชร์ประสบการณ์อันล้ำค่าทั้งหมดให้เราฟังเท่าที่เวลาจะเอื้ออำนวยแบบไม่มีกั๊ก มันทั้งโหด ทั้งมัน ทั้งกินใจ และเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังของนักฝัน ซึ่งเราก็ถอดการสนทนาที่ว่านี้ออกมาเป็นตัวอักษร กลายเป็นบทสัมภาษณ์ที่คุณกำลังจะได้อ่านต่อไปนี้

MKT Event  : ในตอนนี้ถ้าจะให้คุณนิยามความหมายของ “เฟรชแอร์ เฟสติวัล” แบบเร็ว ๆ คุณจะจำกัดความมันว่าอย่างไร

วินิจ : เราพยายามจะสร้างปรากฏการณ์เป็นระยะ ๆ ด้วยการสร้างความแตกต่างจากงานโปรดักชั่นทั่วไปที่มีคนทำไปแล้ว สิ่งเหล่านี้เป็นธรรมชาติของเราที่ไม่ชอบที่จะทำงานแบบเดิม ๆ จะสร้างงานใหม่ที่มีวิธีคิดใหม่ ๆ เสมอ ผมเลยตั้งนิยามองค์กรว่า ‘Phenomenon By Fresh Air Festival’

MKT Event  : วิธีคิดในการสร้างงานแต่ละชิ้น คุณเริ่มตั้งต้นที่จุดไหน

วินิจ : เอาจริง ๆ นะ ทุกครั้งก่อนจะเริ่มทำงานผมจะไม่ค่อยคิดมาก ทุกอย่างเกิดขึ้นจากวิธีคิดที่มุทะลุดุดัน มุ่งไปข้างหน้าด้วยความเชื่อที่ว่าความทุ่มเทจะสามารถเอาชนะทุกอุปสรรคได้ ดังนั้นเมื่อผ่านงานนั้น ๆ มาได้ เราเหนื่อย เรามีรอยแผลจากประสบการณ์ พอเรามองกลับไปเราไม่กล้าที่จะกลับไปทำใหม่เพราะว่าทุกเรื่องมันตัดสินใจทำด้วยความสะใจไว้ก่อน อยากทำเพราะมันยังไม่มีคนทำก็เท่านั้น นี่คือวิธีการตัดสินใจสร้างงานของผม ไม่มีอะไรซับซ้อนเกินกว่านี้

MKT Event : ปัจจัยเรื่องเงินลงทุนมีผลต่อการตัดสินใจด้วยหรือไม่

วินิจ : ถ้ามีงานชิ้นหนึ่งเข้ามา แล้วผมตกลงใจว่าจะทำแล้ว ส่วนตัวจะไม่เคยคิดว่าต้นทุนมันอยู่ตรงไหน รายได้มันมายังไง จะเหลือเท่าไหร่ จะขาดเท่าไหร่ ขอให้ผมได้ทำงาน ได้เดินไปก่อน เป็นอย่างนี้ทุกครั้ง

MKT Event  : มีซักงานไหมที่ทำให้วินิจ เลิศรัตนชัย จนหนทางถึงขนาดต้องยอมแพ้

วินิจ : ตั้งแต่จำได้ไม่เคยมีครับ ถ้าโปรเจกต์ไหนที่ผมตัดสินใจทำแล้วนี่ไม่เคยถอยเลย มันผ่านได้หมดทุกโปรเจกต์เลย

MKT Event  : คุณใช้อะไรเป็นอาวุธสำคัญในการกรุยทางฝ่าปัญหาต่างรูปแบบที่เกิดขึ้นในงาน

วินิจ : ใจ และประสบการณ์ล้วน ๆ ครับ เราผ่านงานและอยู่ในวงการนี้มานาน นานพอจะทำให้ผมรับรู้ได้โดยสัญชาตญาณว่างานไหนที่เราสามารถผ่านไปได้ แต่ถ้าผ่านไม่ได้ตัวผมเองก็จะน้อมรับทุกปัญหา น้อมรับการรับผิดชอบในทุกยูนิตงาน เพื่อหาทางแก้ไขให้เราสามารถผ่านมันไปได้ ดังนั้นการรวมทีมเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ผมต้องทำให้เขาศรัทธาด้วยการตอบทุกข้อสงสัยในการทำงานให้ได้ เพื่อให้ทุกคนเกิดความสบายใจ เขาถึงพร้อมจะเดินหน้าไปกับเรา

MKT Event  : การสร้างความศรัทธาอันนี้หมายถึงการสร้างความเชื่อกับนายทุนที่จะมาร่วมทำงานกับคุณด้วยหรือไม่

วินิจ : อย่าเรียกนายทุนเลยดีกว่า เรียกว่าผู้ร่วมสนับสนุนน่าจะถูกต้องกว่า เพราะทุกงานผมลงทุนด้วยตัวเอง การจะชักชวนให้เขามาเดินร่วมทางกับเรามันขึ้นอยู่กับว่าองค์กรเราเคยผ่านงานอะไรมาบ้าง ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้น เขารู้ เขาเห็นในสิ่งที่ผมทำ น่าจะเป็นเครื่องยืนยันศักยภาพของเฟรชแอร์ฯ ได้อย่างมาก ว่าเราสามารถจบทุกงานได้อย่างสวยงาม

MKT Event  : ในฐานะผู้นำองค์กร คุณใช้จิตวิทยารูปแบบไหนเพื่อหล่อหลอมความเป็นทีมในองค์กรขึ้นมา

วินิจ : จิตวิทยาในการวมคนของผมก็คือการใช้ใจแลกใจ เพราะทุกครั้งที่ทำงานผมเอาตัวเองลงไปร่วมทำงานแบบทุ่มเทกับทุกคน เรียกว่าเอ็งเหนื่อย พี่ก็เหนื่อย น้องหิว พี่ก็หิวด้วย เดินตรวจไปทุกหน่วย

MKT Event  : เรียกว่าล้วงลูกได้ไหม

วินิจ : เป็นการล้วงลูกแบบสร้างสรรค์น่ะ (หัวเราะ) กองคณะในการบันทึกเสียง, ช่างอ็อกเหล็ก, คนทำโต๊ะ, ยาม, เจ้าหน้าที่ทุกฝ่าย หรือระหว่างการแสดงอย่างตอนแสดงพระมหาชนกฯ ในเรื่องการรักษาความปลอดภัยถึงแม้จะเป็นเอาท์ซอร์สของ กทม. ผมก็ต้องไปสร้างความคุ้นชินกับเขา ละลายพฤติกรรมเขาให้เขาเป็นทีมงานของเราเขาถึงจะอำนวยความสะดวกด้วยดี นี่รวมไปถึงการดูแลเรื่องเบี้ยเลี้ยง ซื้ออาหารไปฝากบ้าง ไปสร้างสัมพันธภาพ เพื่อรวมใจทุกหน่วยให้เป็นหนึ่งเดียว

MKT Event  : หน้าที่ของซีอีโอต้องทำอะไรมากขนาดนั้นเลยหรือ

วินิจ : การเอาตัวลงไปคลุกกับคนกับงาน มันเป็นธรรมชาติของผมอยู่แล้วครับ ส่วนซีอีโอคนไหนจะเป็นยังไงอันนี้ผมไม่รู้ ซึ่งธรรมชาติแบบนี้มันก็จะก่อเกิดเป็นยูนิตี้ที่แข็งแรงมาก เพราะงานโปรดักชั่นบางครั้งคนที่อยู่ข้างหลังอาจมีความสำคัญมากกว่าคนที่อยู่หน้าฉากเสียด้วยซ้ำ นักแสดงตัวประกอบผมไปเยี่ยมทุกจุดเลย ผมไปรู้จักเขาหมด ผมไปหาตลอดเวลาถามไถ่สารทุกข์สุขดิบ ผมรู้จักแม้กระทั่งครอบครัวของนักแสดงทุกคน มาทำกับข้าวเลี้ยงเพื่อน ๆ นักแสดงด้วยตัวเอง เรารู้ทุกแบบ ทำให้ในเนื้องานมีความสุข แล้วเราเองก็สนุกกับสิ่งที่ทำด้วย

MKT Event  : คุณเคยเป็นดีเจที่ต้องทำงานคนเดียวเสียเป็นส่วนใหญ่ การมาทำงานด้านโชว์ที่ต้องปะทะสังสรรค์กับคนมากมายแบบนี้ มันดูขัดแย้งไหม

วินิจ : ไม่ขัดแย้งเลยครับ (ตอบเร็ว) เพราะดีเจคือการทำงานกับทุกคนนะครับ ไม่ได้ทำงานคนเดียว เพราะฉะนั้นพอเราเข้าไปอยู่ในห้องนั้นมันอยู่ในห้องของส่วนรวมเสมอ ซึ่งผมจะท่องเสมอว่า ยิ่งเราไปอยู่ในที่เล็ก มันคือที่ใหญ่ของทุกคนที่จะเข้ามาร่วมได้ เพราะฉะนั้นเราคิดอะไรเราพูดอะไรมันมีผลกระทบกับคนหมู่มาก เพราะฉะนั้นความรับผิดชอบต่อสังคมต้องมีซึ่งมันเป็นบทบัญญัติข้อนึงของนักจัดรายการวิทยุที่ดี นี่คือข้อสำคัญ

MKT Event  : ความเป็นหนึ่งเดียว สร้างงานออกมาโดยมองเรื่องของสังคมเป็นหลัก คือปรัชญาของเฟรชแอร์ฯ ?

วินิจ : ผมว่านั่นเป็นปรัชญาสำคัญที่ทำให้เราดูจากภายนอกเป็นองค์กรโคตรใหญ่เลย พอร์ทงานแต่ละอันนี่มหึมาทั้งนั้น แต่จริง ๆ เราเป็นบริษัทขนาดกะทัดรัดที่มีคนอยู่ 30 คนในบริษัทเท่านั้นเอง แต่วันหนึ่งข้างหน้าผมจะสร้างอาณาจักรที่ Outstanding ให้ได้ วันนี้ผมกำลังเตรียมการอยู่

MKT Event  : มาถึงตรงนี้อยากให้คุณอัพเดทงานรูปแบบใหม่ที่เกิดขึ้นของเฟรชแอร์ฯ ให้ฟังหน่อย

วินิจ : ใกล้ที่สุดก็ธันวาคมนี้ เป็นอินสไปเรชั่นจากคุณทองแดง นำมาทำเป็นแอนิเมชั่น 3 เรื่อง บวก 1 เรื่อง ก็คือเรื่องที่ 4 เราจะร้อย 3 เรื่องเข้าด้วยกันเพราะมีตัวละคร 3 เรื่องที่ได้แรงบันดาลใจจากคุณทองแดง ในแต่ละพาร์ทเราจะนำคุณสมบัติของทองแดงแต่ละเรื่องมาขยายออกเป็นภาพยนตร์คือผมมองเรื่องคุณทองแดงเป็นเรื่องซึ่งน่านำมาขยายผลให้เกิดประโยชน์กับหลาย ๆ ภาคส่วนตั้งแต่เด็ก,  ครอบครัว, ความรัก, ความกตัญญู, ความมีสัมมาคารวะ, การรู้จักเจ้านาย, การรู้จักที่ต่ำที่สูง สิ่งเหล่านี้มันเป็นคุณสมบัติดีงามของความเป็นไทย ทุกคนจะได้ประโยชน์จาการดูแอนิเมชั่นเรื่องนี้แน่นอน ผมเชื่อแบบนั้น

MKT Event  : งานที่ผ่านมาของของเฟรชแอร์ฯ มักจะเกี่ยวข้องกับพระเจ้าอยู่หัว ทำงานกับสิ่งเหล่านี้มาเยอะ สิ่งไหนที่คุณประทับใจเกี่ยวกับพระองค์ท่าน

วินิจ : ผมเป็นคนรุ่นใหม่ ผมเป็นคนไม่เชื่ออะไรจนกว่าผมจะได้สัมผัสเอง เผอิญได้มีโอกาสไปร่วมทำงานภาพยนตร์เฉลิมพระเกียรติเรื่อง ‘ฝนหลวง’ พอทำเรื่องนี้ ผมได้เห็นพระเจ้าอยู่หัวเป็นครูสอนนักเรียนให้รู้เรื่องฝนหลวง แล้วในคลิปที่เป็นเด็กนักเรียนตอนผูกคอซอง ท่านสอนเด็ก 2 คนอยู่ ผมจึงเกิดความคิดที่ไปตามหาเด็ก 2 คน ซึ่งปัจจุบันโตแล้วทำงานราชการอยู่ ตอนนี้มาเป็นนักแสดงภาพยนตร์เรื่อง ‘พ่อ’ ที่เป็นภาพยนตร์ใหญ่ฉายบนพระที่นั่งอนันตสมาคมซึ่งจากการได้ร่วมงาน ผมสัมภาษณ์เขาก็พบว่าทั้งสองคนอินมากกับน้ำพระทัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ยิ่งได้คุยกับเขาก็อินด้วยเช่นกัน จนพบว่าพระองค์เป็นสมมุติเทพแบบคนธรรมดา มีบุญญาบารมีที่ช่วยปัดเป่าความทุกข์ของพสกนิกรของพระองค์จากการทรงงานกว่า 3,000 โครงการ ผมว่าคงไม่มีมนุษย์หน้าไหนในโลกที่จะทำเรื่องแบบนี้ได้ ทุกวันนี้ผมก้มเลยและดีใจอย่างมากในการเป็นส่วนหนึ่งเพื่อเผยแพร่พระเกียรติของพระองค์ให้สาธารณชนได้ประจักษ์

MKT Event  : ทีนี้เรามาคุยเรื่องงานโชว์คอนเสิร์ตของคุณบ้าง ตอนนี้เป็นอย่างไร

วินิจ : ก็ประสบความสำเร็จด้วยดีนะครับ กับคอนเสิร์ต ‘Andrea Bocelli’ ที่มาพร้อมกันกับ ‘David Foster’ ก็ได้รับกระแสตอบรับที่ดีเลย แต่ก่อนหน้าคอนเสิร์ตนี้ก็มีมหากาพย์ที่เฟรชแอร์เคยได้ อย่างเช่นการแสดงของ ‘Psy’ ที่เรานำเขามาแสดงในวันลอยกระทง ซึ่งเป็นช่วงที่เขากำลังพีคอย่างมาก

MKT Event  : คุณได้ Andrea Bocelli มาได้อย่างไร เพราะเป็นที่รู้กันดีว่าเขาคือนักร้องผู้ยิ่งใหญ่ในสายเพลงโอเปร่า

วินิจ : จริง ๆ ก่อนหน้าเรามีคนติดต่อไปหลายบริษัท ซึ่งก็ไม่สามารถทำได้ เพราะอย่างทราบกันดีว่าเขาเป็นตัวท๊อปของโลกในวงการโอเปร่า ดังนั้นการจัดคอนเสิร์ตจึงต้องเป็นสเกลใหญ่มาก ซึ่งผมก็ลองติดต่อดูแล้วเชิญผู้จัดการส่วนตัวเขามาดูงานพระมหาชนกฯ จนทำให้เขาเชื่อในศักยภาพว่า เฟรชแอร์สามารถแฮนเดิ้ลงานระดับยักษ์ของเขาได้แน่นอน เย็นวันนั้นผมกับผู้จัดการส่วนตัวของโบเซลลี่ก็เซ็นต์ MOU กัน นั่นเป็นที่มาของคอนเสิร์ตครั้งประวัติศาสตร์

MKT Event  : ปัญหาและอุปสรรคในการจัดโชว์นี้คืออะไร

วินิจ : ผมพูดแบบนี้ดีกว่าว่าทุกคอนเสิร์ตทั้งเล็กใหญ่ที่เราจัดมาล้วนมีปัญหาทั้งนั้น อย่างคอนเสิร์ต ‘PSY’ นี่เรียกว่าทั้ง โหด มัน ฮา มีเรื่องให้เครียดได้ตลอดเวลา เอาเป็นว่ารายละเอียดมันเยอะไม่สามารถเล่าได้หมด แต่กับคอนเสิร์ตของโบเซลลี่ เราก็เตรียมแผนรับมือไว้ เพราะคิดว่าต้องเยอะมากแน่ ๆ แต่พอถึงเวลาจริงนี่หน้ามือเป็นหลังเหวเลย เขาน่ารักมาก ไนซ์มาก ทุกอย่างไม่มีปัญหา ให้ทำอะไรก็ทำ ไม่มีปัญหา แต่ท้ายที่สุดแม้ว่าการทำงานมันจะมีอุปสรรค ผมว่ามันก็สนุกดีนะ ผมว่าคนทำอาชีพนี้มันก็ต้องซาดิสต์หน่อย ๆ (หัวเราะ) คือเหมือนการได้เอาชนะการได้แฮนเดิ้ลคน ได้แก้ปัญหาเฉพาะหน้าตามจังหวะเวลา ต้องพูดแบบไหน ตอนไหนต้องทิ้งไพ่เด็ด ใช้ทั้งพลังปัญญาแก้ไขปัญหาความวุ่นวาย สิ่งเหล่านี้ช่วยบริหารสัญชาตญาณในการเป็นผู้นำได้อย่างดีเลย

MKT Event  : หมดจากโปรเจกต์นี้เหนื่อยและเครียดมากไหม

วินิจ : มากครับ แต่ก็ดีใจที่เราสามารถสร้างประวัติศาสตร์ให้แก่วงการดนตรีเมืองไทยได้

MKT Event  : ตอนนี้มีคอนเสิร์ตของวงไหนที่คุณอยากทำมากที่สุด

วินิจ : ต้องเป็น U2 ผมอยากทำมาหลายปีแล้วแต่ไม่ได้สักทีได้แต่ฝันเฉย ๆ ไม่มีโอกาสก้าวล่วงไม่ถึง

MKT Event  : เหตุผลของการก้าวล่วงไม่ถึงคืออะไร

วินิจ : คือมันมีหลายปัจจัยมากที่ไม่ใช่แค่เพียงเรื่องเงินอย่างเดียว แต่การจะดึงวงใหญ่ระดับโลกขนาดนั้นได้คุณต้องตอบให้ได้ว่าเขาจะมาเพื่ออะไร คือเงินไม่ได้เป็นเรื่องการตัดสินใจสุดท้ายของเขา เขาต้องเป็นเรื่องแบบมีบางอย่างให้ตัดสินใจมาอย่างเช่น วาระการระดมทุนเพื่อช่วยเหลือะไรบางอย่างที่เป็นวาระใหญ่ ๆ อาจจะดึงดูดใจเขามาได้

MKT Event  : ถ้าเป็นอย่างนั้นรูปแบบการจัดก็ต้องมีความพิเศษมาก ๆ ใช่ไหม

วินิจ : U2 ต้องทำเป็นอีเว้นท์ครับ ถ้าทำเป็นธุรกิจคอนเสิร์ตเลิกคิดเลย เจ๊งแน่นอนไม่ใช่ว่าเขามีฐานแฟนเพลงน้อย แต่ที่มันเจ๊งเพราะนิสัยแบบคนไทยนี่แหละ

MKT Event  : นิสัยแบบไหนครับ

วินิจ : พูดหยาบ ๆ ก็สันดานไม่ดีที่ไม่ชอบซื้อตั๋ว มัวแต่จะขอตั๋วฟรีอย่างเดียว นี่เป็นเรื่องบั่นทอนอุตสาหกรรมคอนเสิร์ต ผมถึงบอกว่าเจ๊งแน่ ถ้าคุณจัด ซึ่งมันน่าเศร้านะ เศร้าจนพูดไม่ออก ไม่รู้จะพูดยังไงต้องใช้คำนี้ คือโชว์ฟรีดูฟรีขอตั๋วได้ที่ไม่ดีที่สุดยังมีปัญหาเลย แต่เวลาไปเมืองนอกยอมซื้อนะ ถ่ายรูปเอามาอวดให้ตัวเองโก้

MKT Event  : ในต่างประเทศไม่มีเรื่องแบบนี้เลยหรือ

วินิจ : ไม่น่าจะมีนะครับ เขามีกติกาชัดเจน วงจรอุบาทว์พวกนี้ไม่มีเกิดขึ้นแน่นอน คือมันน่าเจ็บใจนะครับยกตัวอย่างง่าย ๆ Eagle มาเมืองไทย ผมไม่ได้เกี่ยวเลยนะ ไม่ได้จัดด้วย แต่ก็ยังมีคนมาขอบัตร เพราะคาดหวังว่าผมจะขอได้ ซึ่งแต่ละคนที่ขอมาผมเองก็ปฏิเสธไม่ได้ Eagle เล่นสองรอบจำได้ผมเสียเงินไป 2 รอบเกือบล้านบาท เพื่อซื้อบัตรมาให้ บางคนนี่ขอมากกว่านั้น ขอมาเป็นห้องวีไอพีที่อิมแพคอารีน่าเลยก็มี ซึ่งผมก็ต้องจ่ายไง มันเป็นมารยาทที่เราเองก็ไม่อยากเอาเปรียบคนจัดที่เป็นเพื่อน ๆ พี่ ๆ น้อง ๆ กัน

ผมกล้าพูดเลยว่าคนมีตังค์มันยิ่งไม่ซื้อนะ ได้บัตรฟรีถือว่ามีพลังมาก ยิ่งได้ที่ดียิ่งพลังมากกว่าอีก ถ้าคนซื้อหน้าโง่นี่หว่า เขารู้สึกอย่างนั้นนะเขาคิดอย่างนี้จริง ๆ ถ้าซื้อกลายเป็นคนแบบไม่แจ๋วจริงกลายเป็นวัฒนธรรมแปลก ๆ เพราะฉะนั้นคนทำก็จะแย่เอา

MKT Event  : ในฐานะที่คุณอยู่ในอุตสาหกรรมนี้ จะมีวิธีแก้ปัญหานี้อย่างไร

วินิจ : ตอนนี้ผมก็พยายามหาวิธีทางออกในตลาด ถ้าทำโชว์ผมอาจจะขายเป็น ‘Sold Sponsor’ คือสนับสนุนแล้วเหมาบัตรไปเลย ให้สปอนเซอร์ไปทำโปรโมชั่น ที่เหลือบัตรขายนิด ๆ หน่อย ๆ สำหรับคนทั่วไป อยากได้ก็น่าจะเป็นวิธีการแก้ไขปัญหานี้อีกแบบนึงเหมือนกัน

MKT Event  : แล้วถ้าไม่ใช้วิธีนี้ มันจะไม่สามารถแก้ไขด้วยตัวมันเองได้เลยหรือ

วินิจ : ในเจนนี้เด็กรุ่นใหม่ ๆ ก็ดีขึ้น อย่างคอนเสิร์ตเกาหลีเขาซื้อนะแล้วพ่อแม่ซื้อให้ด้วย เราต้องรอความหวังจากคนรุ่นใหม่ รุ่นนี้ไม่ได้แล้วหมดหวัง (หัวเราะ)

MKT Event  : จะบอกได้ไหมว่าคอนเสิร์ต U2 ถ้าทำได้มันจะเป็นมาสเตอร์พีซของคุณ

วินิจ : ต้องเป็นอย่างนั้นแน่นอนครับ มันคงไม่มีอะไรจะยิ่งใหญ่ไปกว่านี้แล้ว ผมสัญญากับตัวเองแล้วว่าจะต้องทำให้ได้ แต่ก่อนที่จะไปถึงจุดนั้นก็ยังมีโปรเจกต์หนึ่งที่ยังอยากทำ ซึ่งก็มีความยิ่งใหญ่เช่นกัน ก็คือการทำเอาท์ดอร์โชว์แบบถาวร ปีนึงสัก 3 เดือน ช่วงปลายปีกระจายไปจัดในหลายประเทศใกล้บ้านเรา คือเป็นเรื่องของวัฒนธรรมการดูร่วมกันในดินแดนเขตนี้มีบางสิ่งบางอย่างที่มันเกาะโยงเกี่ยวเชื่อมกันได้ ผมเลยอยากจะทำเรื่องตรงนี้

MKT Event  : ในท้ายที่สุดการทำงานในแวดวงนี้มันให้บทเรียนชีวิตอะไรกับคุณบ้าง

วินิจ : มันทำให้เราเป็นนักสู้ที่เข้มแข็งมากเลย บางครั้งเราเป็นคนที่อ่อนโยน บทเรียนทั้งงานเล็กงานใหญ่ที่เราเผชิญผมให้ความสำคัญกับงานเล็กงานใหญ่เท่า ๆ กัน เราต้องให้ความสำคัญกับมัน เราถึงจะทำงานได้ดีและจะเป็นตัวอย่างที่ดีในทุกวงที่เราอยู่กับเขา

 

Text :Boonake A.

Photo :Wiriya L.

 

mktevent
No Comments

Post a Comment