Venice Di Iris
สร้างเวนิสให้เป็นแลนด์มาร์คที่วัชรพล
ใครก็รู้ว่า ‘เวนิส’ คือเมืองแห่งสายน้ำและคูคลองสุดโรแมนติกที่มีชื่อเสียงของอิตาลี ทั้งยังเป็นเมืองการค้าสำคัญของยุโรปตั้งแต่อดีต แล้วมันจะดีแค่ไหนถ้าจากนี้ไปเวนิสจะถูกจำลองมาไว้ในย่านวัชรพล
ไม่เพียงแค่จำลองให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวอันรื่นรมย์เท่านั้น ที่นี่ยังจะเป็นศูนย์รวมการจับจ่ายใช้สอยของคนกรุงฯ โดยรวมเอาแหล่งช็อปปิ้งดัง ๆ ของกรุงเทพมาไว้ในพื้นที่เดียวซะเลย ในชื่อ ‘เวนิส ดิ ไอริส’ (Venice Di Iris)
แค่คิดก็ทำเอาฝันไปไกล จนจินตนาการได้ว่ามันจะน่าไปใช้เวลาว่างในวันหยุดมากแค่ไหน อันนี้เราขอทำหน้าที่พาท่านผู้อ่านไปสัมผัสกันล่วงหน้า พร้อมแล้วก็ตามเรามาได้เลย
นับตั้งแต่แรกที่ได้เห็นโดยรอบ โครงการเวนิส ดิ ไอริส เหมือนเป็นเมืองหนึ่งเมืองบนเนื้อที่ 40 ไร่ พื้นที่ทุกตารางนิ้วของที่นี่มีบรรยากาศของเมืองเวนิสอย่างแท้จริง ด้วยสถาปัตยกรรมสีสันสดใสแบบอิตาเลียนสไตล์ในยุคเรอเนซองส์ มีงานประติมากรรม อย่างเช่น เสา, หอนาฬิกา, หอระฆัง ที่ช่วยเสริมความเป็นเวนิสยิ่งขึ้นไปอีก
มากกว่านั้นยังมีต้นไม้และดอกไม้นานาพรรณถูกนำมาตกแต่งรอบโครงการ และสิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้ของเมืองเวนิสก็คือ ‘คลอง’ ซึ่งเราก็ไม่ผิดหวังเมื่อเจ้าของโครงการเขาได้ทำการขุดคลองความยาวกว่า 800 เมตรรอบโครงการ รวมถึงสั่งทำเรือกอนโดล่าทั้งหมด 4 ลำ คอยให้บริการลูกค้าเพื่อชมความงามของเมืองย่อม ๆ นี้กันได้เต็มอิ่ม
อีกหน้าที่ของคลองก็คือแบ่งเมืองแห่งนี้ออกเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกเป็นพื้นที่ที่คลองล้อมรอบอยู่ คือ คอมมูนิตี้ มอลล์ ที่มีทั้งซูเปอร์มาร์เก็ต ร้านอาหาร และคาเฟ่แบรนด์ดัง ให้เราเลือกสรรช้อปและชิมตามใจ อาทิ แม็กซ์แวลู พรีเมียม, ทอมแอนด์ทอมส์ คอฟฟี่ (Tom n’Toms Coffee), ร้านอาหาร Grande Piatto ที่มีอาหารนานาชาติจากหลายแบรนด์ให้เลือก ที่สำคัญทุกร้านที่อยู่ริมคลองนั้นเป็นร้านอาหารทั้งหมด จึงสามารถรับประกันความชิลล์และโรแมนติกได้อย่างเป็นอย่างดี
ด้านหน้าแม็กซ์แวลู พรีเมียม จัดเป็นพื้นที่ใจกลางโครงการ เป็นลานสำหรับจัดกิจกรรม ด้วยคอนเซปท์ที่แตกต่างกันไปในแต่ละเดือน จัดทุกเสาร์-อาทิตย์ เวลา 4 โมงเย็นเป็นต้นไป ยกตัวอย่างกิจกรรมที่ผ่านมา คือ Melody & Food Festival มีทั้งอาหารและดนตรีสด
นั่นหมายความว่าในหนึ่งเดือนเราจะได้ฟังเพลงหลากสไตล์ทั้งป๊อบ แจ๊ส อะคูสติค หรือในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ทางโครงการฯ ได้จัดกิจกรรม ‘My Mom Month’ เพื่อให้ลูกค้ามาถ่ายรูปกับแม่แล้วส่งไปรษณีย์ถึงแม่ เป็นต้น น่าติดตามแล้วสิ ว่าเดือนต่อ ๆ ไป พื้นที่ตรงนี้จะมีกิจกรรมอะไรให้เราสนุกกันอีกบ้าง แต่ขอบอกว่านอกเหนือจากกิจกรรมที่ทางโครงการฯ จัดเตรียมไว้ให้ พื้นที่ตรงนี้ยังเปิดกว้างสำหรับผู้ที่ต้องการจัดกิจกรรมชิล ๆ เก๋ ๆ หากใครสนใจก็ลองติดต่อกับเจ้าหน้าที่โครงการฯ ได้
พื้นที่ส่วนที่สองอยู่ด้านนอกของคลอง มีพื้นที่กว่า 26 ไร่ สร้างเป็น ‘ช็อปเฮาส์’ (Shop House) เป็นพื้นที่ขายทั้งหมด 263 ยูนิต ผู้ที่มาซื้อช็อปเฮาส์แต่ละหลังจะต้องเปิดพื้นที่ชั้น 1 เป็นร้านค้า โดยชั้น 2-3 สามารถจัดสรรให้เป็นออฟฟิศหรือที่พักอาศัยก็ได้ ส่วนนี้เองที่ถูกแบ่งโซนตามย่านสุดฮิตของกรุงเทพ นั่นก็คือ
โซนสำเพ็ง – รวมร้านค้ากิฟช็อป ของชำร่วย สินค้าเพื่อความงาม
โซนเยาวราช – รวบรวมอาหารจานอร่อยในแบบเยาวราชมาให้ได้เพลิดเพลินกันอย่างไม่จำกัด
โซนบาร์ซาร์ – จะได้ซื้อหาของที่ระลึก งานหัตถกรรม เครื่องปั้นดินเผา ศิลปะ เครื่องประดับ หรือของฝากเก๋ ๆ ไปฝากคนที่คิดถึง
โซนสยามสแควร์ – สินค้าแฟชั่นอินเทรนด์ทั้งหลาย ทั้งเสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า เครื่องประดับรวมอยู่ที่นี่
โซนจตุจักร – รวมบรรดาสินค้าที่คุณเคยเห็นที่จตุจักรนับตั้งแต่เสื้อผ้า สัตว์เลี้ยง ต้นไม้ ของสะสม ของแต่งบ้าน
โซน Gadget และ Fashion – รวบรวมสินค้าแบรนด์ดัง คุณภาพเกรดเอ และของใช้หลากหลายให้เดินเลือกได้ทั้งวันไม่มีเบื่อ
และสุดท้ายคือโซนการศึกษา – เด็ก ๆ จะได้เรียนในสถาบันกวดวิชาและสถาบันสอนภาษาชั้นนำแบบไม่ต้องเดินทางไปไหนไกล สะดวกสำหรับเด็ก ๆ และผู้ปกครอง
หน้าร้านแต่ละร้านของ Shop House ต้องยอมรับว่าน่ารัก มีเอกลักษณ์ของร้านโดยที่ยังคุมโทนความเป็นเวนิสได้เป็นอย่างดี แม้จะขายของแตกต่างกันแต่ก็ลงตัว ซึ่งใครที่รักการถ่ายรูปและการเซลฟี่ บอกได้เลยว่าโลเกชั่นนี้ไม่ทำให้คุณผิดหวังแน่นอน เพราะไม่ว่ามุมไหนก็สวยไปหมด
ด้วยความสวยงามและความมีเอกลักษณ์อันโดดเด่น แม้จะเปิดโครงการมาได้ไม่นาน แต่ผู้คนก็เริ่มคึกคัก โดยเฉพาะในวันเสาร์-อาทิตย์ที่มีกิจกรรมและตลาดนัดศิลปะ ‘The Art-mosphere’ ซึ่งได้จัดต่อเนื่องมาตั้งแต่ปีที่แล้ว จนกลายเป็นอีกหนึ่งจุดหมายของเหล่าวัยรุ่น
ดังนั้นเมื่อพื้นที่ทั้งหมดของ Venice Di Iris เปิดพร้อมแล้วล่ะก็จะเป็นสถานที่ที่สามารถเพลิดเพลินอยู่ได้ทั้งวันเลยล่ะ อยากรู้ว่าเป็นจริงอย่างที่เราพูดมากน้อยแค่ไหน ลองมาพิสูจน์เองได้เลย
Venice Di Iris สุดยอดทำเลทอง
-
5 นาที จากทางลงทางด่วนรามอินทรา-อาจณรงค์
-
25 นาที จากสนามบินดอนเมือง
-
45 นาที จากสถามบินสุวรรณภูมิ
-
20 นาที จากสวนสัตว์ซาฟารีเวิลด์
-
10 นาที จากรถไฟฟ้าสายสีชมพู (โครงการในอนาคต)
-
10 นาที จากรถไฟฟ้าสายสีเทา (โครงการในอนาคต)
การออกแบบเพื่อความสะดวกของผู้มาเยือน
-
ที่จอดรถรองรับรถยนต์กว่า 900 คัน
-
รองรับรถบัสท่องเที่ยวได้มากกว่าวันละ 50 คัน
Text : R2 D W.