Visions of the Rising Star
Text: Boonake A.
Photo: Wiriya L.
ณัฐวุฒิ ตรีวิศวเวทย์
Visions of the Rising Star
ก่อนจะลงมือเรียบเรียงบทสัมภาษณ์ที่ผมมีโอกาสได้สนทนากับ ‘โจ้-ณัฐวุฒิ ตรีวิศวเวทย์’ หนุ่มหล่อทายาทธุรกิจหมื่นล้านอย่างบริษัท ‘ช.การช่าง’ ผมลองพิมพ์ชื่อเขาไปใน Google เพื่อเสิร์ชหาประวัติเขามาใช้เป็นวัตถุดิบเขียนบทเปิดในคอลัมน์สัมภาษณ์ที่คุณกำลังได้อ่านอยู่ขณะนี้
ในเวลาแค่เพียง 0.69 วินาที 40,900 รายการ คือตัวผลการค้นหาทั้งรูปภาพและบทความออนไลน์ที่เกี่ยวข้องกับเขา ตัวเลขมหาศาลขนาดนี้ยืนยันความเป็นเซเลบรีตี้ของหนุ่มผู้นี้ได้เป็นอย่างดี เพราะอย่างที่ทราบกันดีว่านอกจากความเป็นทายาทธุรกิจระดับหมื่นล้าน หนุ่มหล่อคนนี้ยังเป็นเซเลบริตี้ที่คนแวดวงสังคมชั้นสูงจับตา เป็นทั้งกรรมการในเรียลลิตี้โชว์สุดฮอตอย่างรายการ The Face Thailand เป็นพรีเซนเตอร์และแบรนด์แอมบาสเดอร์ให้สินค้าหลากหลายแบรนด์ และเป็นสปอร์ตแมนหุ่นล่ำซิกแพคแน่นระดับไอดอลอีกด้วย (ไม่เชื่อลองเสิร์ชหาภาพเขาดูก็ได้)
พูดไปเยอะก็ต้องบอกกันตามตรงเลยว่าการพูดคุยในวันนี้ ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับสิ่งที่เราไล่เรียงมา เพราะเรื่องที่เรานั่งสนทนากับโจ้ คือบทบาทใหม่ในฐานะ Managing Director ของ บริษัท บางกอก เมโทรเน็ตเวิร์ค (BMN) ในเวลาเกือบหนึ่งชั่วโมง เราสนทนากับเขาหลายเรื่องทั้งวิสัยทัศน์ในการสร้าง BMN วิธีคิดการสร้างบิสิเนสโมเดลใหม่ๆ เชิงนวัตกรรมให้กับสินค้าและบริการในเครือ รวมถึงวิธีการจัดการด้านการบริหารองค์กรในฐานะผู้บริหาร รวมถึงเรื่องราวของชีวิตวัยหนุ่มในวันนี้ของเขา
เอาเป็นว่าลองอ่านดูแล้วกัน ทุกคำตอบน่าจะทำให้คุณทราบว่าทำไม ‘ณัฐวุฒิ ตรีวิศวเวทย์’ ถึงได้เป็นดาวดวงใหม่ที่น่าจับตามองในวันนี้
MKT Event : คุณเข้ามาทำงานที่ BMN ได้เพียง 8-9 เดือนที่ผ่านมา สโคปงานหลักของคุณคืออะไร
ณัฐวุฒิ : ตัวผมเองเข้ามาเป็น Managing Director ดูแลเรื่องภาพรวมภาพใหญ่ที่เป็นวิสัยทัศน์ทางธุรกิจขององค์กรนี้ ดูทุกอย่างหมดเลย
MKT Event : วิสัยทัศน์รูปแบบใหม่ในการพัฒนา BMN ที่คุณวางเอาไว้มีรายละเอียดเป็นอย่างไร
ณัฐวุฒิ : BMN เองได้สัมปทานสายสีน้ำเงินก็เข้าสู่ปีที่ 12 แล้วในอนาคตเมื่อมีรถไฟฟ้าหลาย ๆ สายเพิ่มเข้ามา เราจึงต้องมีความพร้อมสำหรับการเข้าไปแข่งขันกับรายอื่น วิสัยทัศน์หลัก ๆ ที่ผมวางไว้คือการเพิ่มความแข็งแกร่งของตนเองในหลาย ๆ ด้าน เช่น ทางด้านมีเดียแอดโฆษณา ซึ่งตอนนี้ก็มีอยู่หลายเจ้าในตลาด Out of Home Media ทางเราต้องเพิ่มศักยภาพตัวเองให้ลูกค้าเห็นว่าเรามีจุดแข็งที่แตกต่างจากเจ้าอื่น ทางด้านรีเทลเองก็เช่นกันเราต้องสร้างจุดเด่นให้เห็นว่าเรากำลังปรับโจทย์ทางความคิดที่สามารถตอบโจทย์ให้ผู้ใช้ MRT สามารถใช้ชีวิตได้อย่างสะดวกสบาย ส่วนทางด้านการวาง Network ซึ่งเป็นงานของ BMCL เราต้องพัฒนาสิ่งที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานรองรับทุกระบบการสื่อสารอย่างครบถ้วน คร่าว ๆ ตรงนี้ก็เป็นวิสัยทัศน์ในการพัฒนาที่ผมวางเอาไว้ให้ BMN
การเข้ามาของผมไม่ได้ปรับเปลี่ยนแค่เรื่องของวิสัยทัศน์ทางธุรกิจเท่านั้น ในส่วนของ Corporate Identity ขององค์กรเองก็มีการเปลี่ยนเช่นกัน อันนี้เป็นความตั้งใจของผมเลยที่อยากรีเฟรชแบรนด์ BMN ให้มีความทันสมัยมากขึ้น จากเดิมที่ค่อนข้างเรียบ ๆ ดูเป็นบริษัทในเชิง Corporate ผมอยากจะปรับให้มันมีความสดใสมากขึ้น เพิ่มภาพลักษณ์ของความเป็น Commercial Developer ที่มีความครีเอทีฟและอินโนเวทีฟมากขึ้น
MKT Event : เรียกว่าอยากสร้างภาพลักษณ์ใหม่ของ BMN ให้เกิดขึ้นในใจคน
ณัฐวุฒิ : ใช่ครับ เราเปลี่ยนทั้งกระบวนการ ลึกลงไปถึง DNA ขององค์กรเลย เราทำเพราะเราเห็น Position ในการเป็นผู้พัฒนาเชิงพาณิชย์ใน MRT ซึ่งเราไม่ได้เป็นผู้เดินรถ เราขายมีเดีย ขายแอดโฆษณา ขายรีเทล ฉะนั้นจะต้องตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนกรุงเทพฯ ในอนาคต ดังนั้นจึงต้องมีการปรับรูปแบบให้ทันสมัยมากขึ้น
MKT Event : ตอนนี้ตลาด Out of Home Media มีขนาดเท่าไหร่ และ BMN มีส่วนแบ่งตลาดเท่าไหร่
ณัฐวุฒิ : ตลาด Out of Home Media คร่าว ๆ ปีหนึ่งก็ประมาณ 4,000 ล้านบาท ถ้าพูดถึง Transit Media อย่างเดียวตรงนี้เรามีส่วนแบ่งประมาณ 10%
MKT Event : เป้าหมายที่ตั้งไว้ในการสร้างส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มเติมอยู่ประมาณไหน
ณัฐวุฒิ : เรามองว่ามันเหมือนกับ Ridership ของ MRT ถ้ามูลค่าตรงนี้เพิ่ม Ridership เราก็เพิ่มขึ้นด้วย และมูลค่าตรงนี้ก็ไม่เคยตกลงไปเหมือนกับสื่ออื่น ๆ นั่นหมายความว่า Eye Ball ที่มากขึ้นทำให้มูลค่าสื่อของเราโตขึ้นตลอด เมื่อ MRT จะมีการขยายไปอีกหลายเส้นทางและมีการคาดการณ์ว่า Ridership จะโตประมาณปีละ 5% เราก็หวังว่าธุรกิจสื่อของเราน่าจะโตไปตามนั้น ฉะนั้นราคาสื่อเราต้องโตแน่นอน ส่วนแบ่งตลาดน่าจะเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน
MKT Event : เราอยากให้คุณเล่าถึงแผนพัฒนาธุรกิจทั้ง 3 ขาของ BMN เริ่มต้นในส่วนของมีเดียโฆษณาก่อน
ณัฐวุฒิ : ต้องบอกเลยว่านี่คือสิ่งที่ผมอยากเข้ามาเปลี่ยนแปลงมาก เพราะสื่อใน MRT มีความพิเศษอย่างหนึ่งคือเป็นสื่อในพื้นที่ปิด ฉะนั้นเราสามารถเล่นลูกเล่นได้เยอะ ทำได้ทั้ง 3D เป็นภาพขยับ เป็นทีวี เป็นดิจิตอล เป็นป๊อปอัพแอด หรือจะเป็นกิจกรรม มีแสงสีเสียง ก็สามารถทำได้หมด หรือจะฉายเป็นภาพ Interactive ลงมาให้เห็นภาพเคลื่อนไหว มีเซ็นเซอร์จับความเคลื่อนไหวเล่นกับผู้โดยสารที่เดินผ่านไปมามากขึ้น เทคโนโลยีเหล่านี้ผมว่าทำใน MRT เหมาะที่สุด ทาง BMN จะนำนวัตกรรมเหล่านี้มาใช้ทำสื่อ สร้างให้เป็นมากกว่าการโฆษณาทั่วไปให้ผู้บริโภคสามารถมีส่วนร่วมกับประสบการณ์ใหม่ นำไปสู่การจดจำแบรนด์สินค้าได้มากขึ้น
MKT Event : นำเทคโนโลยีเข้ามาใช้เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ธุรกิจใช่ไหม
ณัฐวุฒิ : ใช่ ๆ มันเป็นมูลค่าเพิ่มครับ ไม่เพียงเท่านั้นผมอยากจะทำให้คนเห็นว่าเราไม่ใช่แค่พื้นที่ให้เช่า เราเป็น Creative Company เราสามารถทำตรงนี้ได้ด้วยนะ ไม่ได้ขายแค่พื้นที่เท่านั้น แต่เรามีโนว์ฮาวมีประสบการณ์ที่ดีที่สามารถนำพื้นที่ปิดมาเป็นลูกเล่นได้
MKT Event : คุณศึกษาดูงานเทคโนโลยีด้านนี้จากที่ไหนบ้าง
ณัฐวุฒิ : ส่วนมากดูที่จีน เซี่ยงไฮ้ ฮ่องกง ญี่ปุ่น เกาหลี
MKT Event : ทำไมต้องเป็นที่นั่นครับ
ณัฐวุฒิ : ผมว่าเป็นวัฒนธรรมของคนเอเชียนะที่ค่อนข้างชอบดูโฆษณา ชอบดูไม่พอยังชอบที่จะมีส่วนร่วมกับโฆษณา ซึ่งคนอเมริกาหรือในยุโรปจะไม่เป็นแบบนี้เลย ทำให้ในญี่ปุ่น ฮ่องกง เซี่ยงไฮ้ นวัตกรรมสื่อประเภทนี้เยอะมาก รวมถึงการจัดกิจกรรมทางการตลาดในพื้นที่รถไฟใต้ดินก็มีมากเช่นกัน ทำให้กรณีศึกษาในการสร้างสื่อประเภทนี้ของเขามีมากมายให้ผมได้ศึกษา
MKT Event : สิ่งที่ทำให้ต้องขบคิดมากที่สุดในทุกครั้งที่ไปดูงานคือเรื่องใด
ณัฐวุฒิ : การไปดูงานทำให้ผมต้องเรียนรู้เทคโนโลยีใหม่ตลอด ซึ่งสนุกนะ เป็นอะไรที่ท้าทายมากในตอนนี้ ดูแล้วก็ได้มุมคิดกลับมาให้ผมและทีมงานได้ลองคิดแคมเปญโฆษณาใหม่ ๆ มาลองทำกัน
MKT Event : เรียกได้ว่า MD อย่างคุณลงไปลุยงานเองเพื่อทำให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น
ณัฐวุฒิ : แน่นอน เราเป็นคนพยายามผลักดันให้เกิดด้วยซ้ำไป เพราะว่าเมื่อก่อนจะทำสื่อที่มีเทคนิคขนาดนี้ลูกค้าจะบอกว่าแพงไม่อยากทำ แต่ตอนนี้ผมบอกได้เลยว่าถ้าสินค้าแบรนด์ไหนอยากทำเราจะช่วยซัพพอร์ตเต็มที่ ผมและทีมงาน BMN จะช่วยคิดหาทางที่ทำให้ต้นทุนถูกลงโดยที่คุณสามารถได้สิ่งที่ต้องการ คือเราพยายามทำตัวเป็นเอเจนซี่ให้คำปรึกษากับเขาทำให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น เพราะถ้ามันเกิดได้ก็จะได้ภาพลักษณ์ที่ดีกับ MRT เป็นภาพลักษณ์ที่ส่งผลดีต่อธุรกิจในแง่ของบริษัทเราเช่นกัน
MKT Event : คุณมีวิธีคิดในการพัฒนาตัวเองเพื่อทำงานด้านนี้อย่างไร
ณัฐวุฒิ : ผมพยายามเข้าใจเทรนด์ และเข้าใจว่าเหตุใดเทรนด์นั้นจึงเป็นเทรนด์ขึ้นมา เราต้องเข้าใจว่าอะไรมันโดน และโดนเพราะอะไร และนำคำตอบเหล่านั้นมาคิดต่อยอดว่าเราสามารถสร้างตรงนั้นในระบบรถไฟฟ้า MRT ได้หรือไม่
MKT Event : มาถึงส่วนแผนพัฒนาในส่วนเมโทรมอลล์บ้าง มีรายละเอียดอย่างไร
ณัฐวุฒิ : ปีนี้ดีมากขึ้นนะครับ ผมว่ากระแส MRT กระแสรถไฟฟ้าในเมืองไทยมันมาแรงมาก จากการเปิดรถไฟสายสีม่วง มีการประมูล ครม.มีการอนุมัติสายสีส้ม เหลือง ชมพู ทำให้คนไทยส่วนมากเริ่มเข้าใจแล้วว่ามันจะมา ประกอบกับไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ที่เริ่มมาอยู่คอนโดมากขึ้น เริ่มที่จะใช้ชีวิตบนทางรถไฟมาก เมโทรมอลล์จึงเป็นพื้นที่ที่สามารตอบโจทย์ชีวิตของคนในปัจจุบัน และตอบโจทย์ชีวิตของคนในอนาคตอันใกล้ได้อย่างลงตัว
MKT Event : ตอนนี้เมโทรมอลล์มีจำนวนกี่แห่ง
ณัฐวุฒิ : ปัจจุบันมีอยู่ 5 แห่ง สถานีสุขุมวิท, พหลโยธิน, พระรามเก้า, จตุจักร และสถานีกำแพงเพชร และที่แน่ ๆ ปลายปีนี้จะมีพื้นที่รีเทลเพิ่มขึ้นอีก 6 สถานี ที่ศูนย์ประชุมสิริกิติ์, เพชรบุรี, รัชดา, ศูนย์วัฒนธรรม, คลองเตย และลาดพร้าว ซึ่งเราบอกได้เลยว่าจุดประสงค์หลักของเมโทรมอลล์คือการบริการให้ประชาชนมีไลฟ์สไตล์ที่สะดวก รวดเร็ว เป็นวันสตอปเซอร์วิสให้การเดินทางมันง่ายขึ้น
MKT Event : แนวทางการพัฒนาธุรกิจของเมโทรมอลล์ที่คุณอยากวางเป้าหมายไว้
ณัฐวุฒิ : หลัก ๆ จะเป็นการพัฒนาบริการที่ตอบโจทย์ชีวิตคนเมืองมากขึ้น คนที่ไม่อยากต่อคิวซื้อกาแฟนาน ๆ มาซื้อตรงนี้ก็ออกไปทำงานได้เลย ฉะนั้นไม่ว่าจะตัดผม ซื้อกาแฟ, เบเกอร์รี่, อาหารปรุงด่วน หรือทำธุรกรรมกับธนาคารอะไรต่าง ๆ ผมว่าตรงนี้ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนบนรถไฟใต้ดินได้ชัดเจน
MKT Event : ความท้าทายในธุรกิจพื้นที่บริหารรีเทลที่คุณเจอในการทำงาน
ณัฐวุฒิ : เยอะครับ (หัวเราะ) สิ่งที่ต้องทำให้สำเร็จและท้าทายมากน่าจะเป็นเรื่องการเพิ่มยอดขายให้กับร้านค้าในสถานีที่มีจำนวนทราฟฟิกน้อย เพราะการออกแบบพื้นที่รีเทลของ MRT เมืองไทยใช้แนวทางการออกแบบของยุโรปที่เน้นเรื่องความปลอดภัยและการคล่องตัวกับการอพยพคนเป็นหลัก มันจะแตกต่างจากทางญี่ปุ่นกับฮ่องกงที่คนจะขึ้นรถไฟแล้วจะเดินผ่านพื้นที่รีเทลเลยเหมือนไปเดินที่ญี่ปุ่นแบบโตเกียวสเตชั่นหรือชิบูย่า คนจะเดินผ่านตรงพื้นที่รีเทลเลยมันเชื่อมหมด แต่ของเรามันจะไปซ่อนอีกที่หนึ่ง เพราะไม่อยากไปบังทางเดินคน ทำให้เกิดเหตุฉุกเฉินคนสามารถวิ่งออกไปได้เลย เพราะฉะนั้นตรงนี้เป็นความท้าทายว่ายอดขายที่มากต้องเกิดขึ้นในสถานีที่มีทราฟิกสูงจริง ๆ แล้วเราจะทำอย่างไรให้ร้านค้าที่อยู่กับเราเขาอยู่ได้ด้วยตัวเองโดยไม่ได้พึ่งคนเดินผ่านเท่านั้น มันเลยเป็นความท้าทายที่ทำให้เห็นว่า ถึงแม้เมโทรมอลล์เรามี 11 สถานที่ ผ่านมา 12 ปี เราเปิดได้แค่ 5 สถานี และมันไม่ได้เป็นธุรกิจที่ Successful มากขนาดนั้นเป็นเพราะเหตุนี้
MKT Event : ข้อจำกัดที่มาพร้อมกับเรื่องความปลอดภัยที่เจอคือเรื่องใด
ณัฐวุฒิ : พื้นที่รีเทลในรถไฟใต้ดินมันมีข้อกำหนดว่าห้ามทอด ห้ามทำ Hard Cooking ห้ามมีน้ำมัน ทีนี้พอห้ามทอด ห้ามต้ม แบบมีแก๊สขึ้นมาร้านอาหารแบบราเมง ร้านฟาส์ตฟู๊ดก็ทำไม่ได้ ซึ่งตอนนี้ที่ทำได้ก็แค่พวกอาหาร Grab and Go ซึ่งถ้าทำได้เราเปิดได้ครบทุกสถานีแล้ว เพราะคนไทยชอบอะไรที่มันแบบไปนั่งอยู่ข้างใต้ แล้วเป็นฟู๊ดคอร์ทอะไรแบบนี้ แต่มันทำไม่ได้
MKT Event : คุณใช้วิธีใดเพื่อหาทางออกให้กับข้อจำกัดเหล่านี้
ณัฐวุฒิ : เราเองก็ต้องพยายามหาเทคโนโลยีช่วยผู้ประกอบการด้วยครับ ที่ว่าห้ามต้ม ห้ามทอด เราลองใช้ไมโครเวฟ หรือหม้อไฟฟ้าได้ไหม ก็จะพยายามคิดค้นทางออกมาช่วย หรือมันจะมีทางยังไงได้บ้างที่สามารถอุ่นอาหาร หรือทำอาหารได้ ตอบโจทย์มากขึ้นอะไรแบบนี้
MKT Event : ตอนนี้ภาพรวมของธุรกิจส่วนเมโทรมอลล์เป็นอย่างไรในส่วนของการร่วมกับแบรด์สินค้า
ณัฐวุฒิ : ตอนนี้มันดีขึ้นมากเลย เพราะอย่างที่บอกไปมันเป็นเทรนด์มากขึ้นในเรื่องรถไฟฟ้า รถใต้ดิน ทำให้ตอนนี้เราก็มีพาร์ตเนอร์อย่างเช่น กาแฟ Amazon เขาก็ให้ความสนใจในหลายสถานี จะเห็นได้ว่าเราก็จะมีอะเมซอนไปเปิดในหลาย ๆ สถานีรถไฟ MRT หรืออย่างร้านสะดวกซื้อ Lawson 108 ตอนนี้ก็เป็นพาร์ตเนอร์เรา ก็มีแผนที่จะเปิดอีกหลายสถานี เพราะเขาเห็นว่ามันเริ่มมาแล้ว
MKT Event : ถึงที่สุดแล้วภาพลักษณ์ใหม่และการรีแบรนด์ของ BMN จะสมบูณ์แบบครบถ้วนเมื่อไหร่
ณัฐวุฒิ : น่าจะประมาณปลาย ๆ ปีนี้ คือ ต้องทำให้เสร็จก่อน The Face ซีซั่น 3 แน่นอน
MKT Event : ทำไมต้องเกิดขึ้นหลัง The Face ซีซั่น 3
ณัฐวุฒิ : เพราะคิดว่าคนน่าจะดูเยอะ (หัวเราะ) มันต้องออกไปในรูปแบบที่แบบทันสมัยและน่าสนใจ
MKT Event : BMN เข้ามาร่วมสร้างคอนเทนต์ กับ The Face ได้อย่างไร
ณัฐวุฒิ : จริง ๆ แล้วรู้จักคุณเต้ (ปิยะรัฐ กัลย์จาฤก) มาก่อนอยู่แล้ว พอดีตอนนั้นเพิ่งเริ่มเข้ามาทำ BMN ใหม่ ๆ คุณเต้เองเขาก็ขายสื่อ เราก็ขายสื่อ บังเอิญมีลูกค้าเอเจนซีคล้าย ๆ กัน แล้วทำไมเราไม่มาร่วมมือกันล่ะ ผมก็เสนอให้รางวัลผู้ชนะเป็นบิลบอร์ดใน MRT ดีกว่า แล้วเอาเราไปช่วยออกรายการให้คนรู้จักรถไฟฟ้ามากขึ้น ก็วิน-วินกันทั้งหมด เราเองอยากให้คนรู้จักรถไฟฟ้ามากขึ้น มันไม่ใช่แบบอึมครึม คนไปขึ้นรถไฟใต้ดินก็ไปถ่ายรูปกับติช่าแชร์ให้เพื่อนดู ก็สร้างความคึกคักมากขึ้น ในส่วนของคนทำพอเห็นภาพแบบนี้ก็ดีใจที่ได้ทำตรงนั้น ซึ่งในปีนี้คิดว่าซีซั่น 3 เราคงพร้อมที่จะเปิดภาพใหม่ทำให้คนเห็นว่า BMN เป็นมากกว่าแค่พื้นที่ขายโฆษณา
MKT Event : พอจะเผยได้ไหมว่าภาพใหม่ที่จะเกิดขึ้นรายการ The Face เป็นอย่างไร
ณัฐวุฒิ : บอกได้เลยว่ามีความสนุกมากขึ้น มีความเป็นไลฟ์สไตล์มากขึ้น พอคนได้ยินชื่อนี้อาจจะยิ้ม แล้วก็ดูง่ายขึ้น แล้วก็มีความเป็นครีเอทีฟมากขึ้น อะไรอย่างนี้มากกว่า
MKT Event : กลับเข้ามาในองค์กรบ้าง อยากรู้ว่าความท้าทายในการบริหารงาน BMN ในตอนนี้ของคุณคือเรื่องใด
ณัฐวุฒิ : มันยังเป็นองค์กรที่ค่อนข้างเล็กอยู่ เรื่องระบบต่าง ๆ มันยังอาจจะไม่ค่อยเข้าที่เท่าไหร่ คือตอนนี้ผมเพิ่งมาเป็น MD ครั้งแรกในชีวิต แต่ก่อนเราดูสโคปงานที่มันเฉพาะเจาะจงกับงานของเราอย่างเดียว แต่ก่อนก็ดูแลเรื่อง Investor Relation ดูเรื่องการทำพีอาร์ แต่ตอนนี้เมื่อต้องมาเป็นผู้บริหารขอบข่ายงานที่ดูแลก็กว้างขึ้น เราต้องบริหารทั้งงานและบริหารทั้งบุคลากรหลายฝ่าย แถมยังต้องมีความท้าทายในเรื่องของวิสัยทัศน์ในการสร้างองค์กร ผมจึงต้องรู้จักวิธีการขยับจิ๊กซอว์ให้มันเข้าที่เข้าทางมากขึ้น มันเหมือนกับว่าเราเล่นเกมที่ใหญ่ขึ้นแล้ว ฉะนั้นจะคิดจะทำอะไรก็ต้อง On Point ให้มากขึ้น
MKT Event : วิธีคิดที่คุณใช้ยึดเป็นหลักในการบริหารบุคลากรคืออะไร
ณัฐวุฒิ : หลัก ๆ คุณต้องเข้าใจว่าทุกคนไม่ Perfect ไม่มีใครสมบูรณ์แบบไปเสียทุกเรื่องในองค์กร แต่เราต้องหาสิ่งที่ดีที่สุดของเขามาใช้ และลบจุดอ่อนของบุคลากรให้ได้โดยใช้จิ๊กซอว์ชิ้นอื่นมาปิด เรื่องนี้คุณพ่อสอนผมเสมอว่าผมต้องเลือกใช้คนให้ถูกกับงาน เหมือนที่เขาบอกว่าอยากจะให้คนออกไปล่าสัตว์ได้งานใหม่มา ก็ต้องใช้คนที่มีความเป็นเสือ อยากจะได้คนที่อยู่ดูแลและมีความปลอดภัย ก็ต้องใช้คนที่บุคลิกซื่อสัตย์แบบสุนัข คือ มันต้องรู้จัก Put the Right Man on the Right Job และต้องเรียนรู้ในการหาวิธีปิดจุดอ่อนของเขาให้ถูกต้อง โดยไม่คาดหวังถึงความสมบูรณ์แบบจากทุกคน
MKT Event : ถ้านอกจากเรื่องงานแล้ว ชีวิตส่วนตัวคุณให้ความสำคัญเรื่องใดมากที่สุด
ณัฐวุฒิ : ผมค่อนข้างให้ความสำคัญกับคำว่าวินัยและคำว่าพยายามมาก อันนี้คือส่วนตัวพิสูจน์ได้เยอะมากว่าถ้ามีวินัยมันจะเป็นพื้นฐานที่ทำให้คุณโตขึ้นไปง่ายขึ้น อย่างผมตอนเรียนหนังสือก็มีวินัยมาก ทำการบ้านส่ง ไม่โดดเรียน ตั้งใจอ่านหนังสือสอบกี่ครั้งก็ทำได้ดี หรืออย่างการออกกำลังกายการมีวินัยก็ช่วยได้มาก ถ้าคุณอยากมีซิคแพคคุณต้องเข้มงวดกับการออกกำลัง เข้มงวดกับการกิน เข้มงวดกับการพักผ่อน ถ้าทำได้คุณจะได้ในสิ่งที่ตั้งเป้าหมาย
MKT Event : คำถามสุดท้าย ส่วนตัวคุณใช้วิธีใดในการฝึกความมีวินัย
ณัฐวุฒิ : การเล่นเกมเป็นการฝึกวินัยของผมอย่างมาก (หัวเราะ) ตอนเด็กผมเล่นเกม Dragon Quest แล้วมันต้องฆ่าปีศาจเก็บเลเวลอัพขึ้นมาเพื่อจะไปสู้กับบอส แล้วคิดดูเราต้องเดินไปหาปีศาจและฆ่าซ้ำ ๆ เพื่อที่จะเลเวลอัพและชนะเกม ออกกำลังกายเหมือนกันมันคือซ้ำ ๆ แต่เราไปถึงจุดสุดยอดเรามีกล้ามขึ้นมาได้ เรียนหนังสือก็เหมือนกันเราอ่านหนังสือซ้ำ ๆ มีช่วงหนึ่งของการเรียนผมขยันอ่านหนังสือจนท่องออกมาเป็นคำพูดได้เลย ผมก็เรียนได้เกรด 4 มาตลอด สามารถเข้ามหาลัยดี ๆ ได้ สิ่งเหล่านี้มันเป็นประตูบานแรกที่สามารถต่อยอดในการทำงานได้