หัวตะเข้ : วันที่ชีวิตต้องการศิลปะ
เย็นย่ำตะวันคล้อยต่ำ ผมและเพื่อนยังคงนั่งนิ่ง ๆ อยู่ที่ชานบ้านริมคลอง เสียงใบพายแหวกน้ำดังอยู่ไม่ไกล มองผ่านม่านใบเฟิร์นที่ห้อยระย้าจากชายคาบ้าน เห็นเพื่อนเจ้าถิ่นส่งยิ้มมาจากเรือคายัคกลางลำน้ำ สายตาที่มองมาไม่ต้องเอ่ยคำใด เราก็รับรู้ได้ว่าอยากให้ลงเรือลำเดียวกัน
สีสันยามตะวันใกล้ลับฟ้าในแต่ละวันให้ความรู้สึกต่างกัน อย่างวันนี้ แสงที่สะท้อนจากผิวน้ำที่กระเพื่อมไหวเมื่อเรือเคลื่อนผ่าน ให้ความรู้สึกสดใส แม้จะเจือความเหงาอยู่ในทีก็ตาม ผมมองผ่านเลนส์เตรียมบันทึกภาพเพื่อนที่พายเรือไปตามลำคลอง จ้องมองอยู่นานจนเกือบลืมลั่นชัตเตอร์ พลางนึกในใจคนเดียว “พวกที่ออกอาการประหลาดใจ ว่าจะมานอนค้างทำไมแค่ลาดกระบัง มันพลาดสิ่งดี ๆ ไปแล้วล่ะ”
นั่งรถไฟไปทำศิลป์
“ไปนอนอ่านหนังสือริมทะเลที่เสม็ดสักวันสองวันดีกว่า” แวบแรกที่นึกขึ้นมาได้ หลังจากที่ทำงานหนักแทบไม่ได้พักผ่อน เสิร์ชหาที่พักจากในอินเทอร์เน็ตพร้อมกับนึกถึงภาพทะเลที่เพื่อนคนอื่น ๆ เคยไปมา “เต็มค่ะ” คำตอบที่ได้รับจากสามที่ที่โทรศัพท์ไปสอบถาม ไม่น่าเชื่อว่าวันหยุดของไทยผู้คนกระหายการพักผ่อนขนาดนี้
“ไปหัวตะเข้ไหม” เพื่อนร่วมทริปเอ่ยขึ้น “จำได้ไหมที่เพื่อนช่างศิลปชวนไปวาดรูปน่ะ” เอออ…ใช่ ผมเข้าเว็บไซต์หารถไฟฟรี www.railway.co.th/checktime/ เลือกหาประเภทรถไฟที่เขาเขียนว่า “ธรรมดา” หรือ “ชานเมือง” ตู้นั่งชั้น 3 จะฟรีแทบทุกขบวน แล้วนัดหมายเวลากับคนที่ปลายทางให้มั่นเหมาะ เพื่อนจองที่พักริมน้ำให้เรียบร้อย บอกเลย…ไม่ได้คาดหวังอะไร อยากนั่งรถไฟไปนอนอ่านหนังสือ และวาดรูปกับเพื่อนดูสักทีเท่านั้น
ที่หัวตะเข้จะเป็นที่ตั้งของวิทยาลัยช่างศิลป เพื่อนหลายคนจบจากที่นี่ แม้จะนานร่วม 20 ปีแล้วก็ตาม บางคนก็ยังวนเวียนอาศัยอยู่อย่างคุ้นเคย “ยัง ๆ นี่สถานีลาดกระบัง ไปอีกสถานีนึง” เพื่อนเรียกไว้ เมื่อเห็นผมทำท่าจะเก็บของลงจากรถไฟ คือใจผมอยากนอนแผ่จิบกาแฟอ่านหนังสือเต็มทีแล้ว
ลงรถไฟสถานีหัวตะเข้ราว ๆ เที่ยง แล้วเดินต่อโดยปักหมุดที่วิทยาลัยช่างศิลป ระหว่างรอเพื่อนมารับ ลอบมองเข้าไปข้างใน มีงานประติมากรรมตั้งอยู่เต็มสวน “เข้าไปเดินดูได้นะ เขาไม่ได้ห้าม” เพื่อนเอ่ย แต่เราขอรีบสาวเท้าเข้าไปยังชุมชนเก่าริมคลอง อากาศเมืองไทยร้อนเกินกว่าจะชิลในยามพระอาทิตย์ตรงหัว
พอเข้าเขตชุมชนเท่านั้นเอง ผมลืมไปเลยว่านี่ยังอยู่ในเขตเมืองหลวง
ชุมชนหลวงพรต-ท่านเลี่ยม
“พักหลังคนมาเยอะขึ้น แต่ที่ว่าเยอะ ก็น้อยอยู่ดีถ้าเทียบกับที่อื่น ๆ” เพื่อนชาวศิลป์ที่อาศัยอยู่แถวนี้มานานเอ่ยขึ้น
ในอดีต สมัยที่การสัญจรบ้านเราใช้เรือเป็นหลัก พื้นที่ริมคลองคือทำเลทองเชียวล่ะ คลองสายหลักที่ไหลผ่านตลาดหัวตะเข้ คือ คลองประเวศบุรีรมย์ เป็นคลองที่ขุดขึ้นมาเมื่อราว 130 ปีก่อน ในสมัยรัชกาลที่ 5 เพื่อเชื่อมต่อคลองพระโขนงกับแม่น้ำบางปะกง การค้าขายสมัยที่ไทยเป็นเหมือน “เวนิสตะวันออก” คึกคักเชียวล่ะ จวบจนถึงวันที่โลกพลิกกลับด้าน รถยนต์เริ่มสำคัญกว่าเรือ ถนนที่ตัดขนานมาไม่ไกลคลองนัก เรียกความสนใจของการค้าไปใกล้ ตลาดริมน้ำแห่งนี้จึงเงียบลงโดยปริยาย
ชุมชนตรงนี้มีชื่อเรียกกันว่า “ชุมชนหลวงพรต-ท่านเลี่ยม” ตั้งชื่อตามหลวงพรตพิทยพยัต และคุณหญิงเลี่ยม (บุนนาค) พรตพิทยพยัต ผู้บริจาคที่ดินแถวนี้ให้กับชุมชน รวมถึงที่ตั้งของโรงเรียนพรตพิทยพยัต และบางส่วนของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีเจ้าคุณทหารลาดกระบัง และวิทยาลัยช่างศิลป
ตลาดหัวตะเข้แห่งนี้จึงกลายเป็นแหล่งที่พักอาศัยของบรรดานักเรียนศิลปะมายาวนาน ตามซอกมุมต่าง ๆ ของตลาดอาจมีงานศิลปะติดตั้งอยู่อย่างไม่น่าแปลกใจ และผมก็เห็นว่าคนในชุมชนก็คุ้นเคยกับงานศิลปะ และวิถีชีวิตของศิลปินเป็นอย่างดี แม้แต่บนกำแพงและคันกั้นน้ำคอนกรีตก็มีงานกราฟิตี้ให้เราได้ชมเป็นระยะ ๆ ร้านทำกรอบรูปและขายเฟรมวาดภาพใหญ่โตไม่แพ้ร้านในเมือง
กลางตลาดมีแกลเลอรี “บ้านสามครู” ที่เกิดจากการจับมือกันของครูศิลปะวิทยาลัยช่างศิลป จัดแสดงงานศิลปะเป็นระยะ ๆ รวมถึงจัดกิจกรรมด้านศิลปะร่วมกับชุมชน เป็นอีกสีสันหนึ่งที่เมื่อมาถึงชุมชนแห่งนี้แล้วไม่ควรพลาด
ผมเปิดฉากกิจกรรมแรกด้วยการกินข้าวชมงานศิลป์ละกัน ก๋วยเตี๋ยวร้าน ‘แป๊ะเซง’ มุมมองของร้านจัดว่าเหมาะมาก เพราะตั้งอยู่ใกล้ ๆ กับบ้านสามครู นอกจากจะอร่อยควบงานศิลป์แล้ว ยังได้ลอบมองผู้คนในชุมชน และบรรดานักเดินทางที่แวะมาเยี่ยมเยือนไปพร้อม ๆ กัน เปิดตั้งแต่ 6 โมงเช้าถึงบ่ายสามโมง ฝากท้องมื้อกลางวันได้ทุกวัน
“พายเรือเล่นกันไหม” เพื่อนสายอาร์ตชวนขึ้นมาหลังอาหารกลางวัน “เฮ้ย เย็น ๆ ก่อนสิ แดดร้อนขนาดนี้” ผมตอบพร้อมรีบหิ้วกระเป๋าออกเดินไปที่พัก เพื่อนอารมณ์ติสต์ขนาดนี้…มันอาจจะเอาจริงก็ได้!!!
ที่พักสุดชิค … นี่ผมไปอยู่ที่ไหนมา!!!
เดินลึกเข้าไปในชุมชนอีกนิด ที่พักของเราอยู่ติดสี่แยกหัวตะเข้ ไม่ใช่ธรรมดานะ เพราะเป็นสี่แยกที่เกิดจาก คลองประเวศบุรีรมย์ตัดกับคลองลำปลาทิว ก้าวแรกที่ย่างเข้ามาในอาคารไม้ริมน้ำถึงกับตะลึง มีสถานที่เท่ ๆ ซ่อนตัวอยู่ตรงนี้ด้วยหรือ และมีคนรุ่นใหม่ ๆ มานั่งแฮงค์เอาท์ บ้างก็เปิดคอมพิวเตอร์ทำงานอย่างจริงจัง อ่านชื่อชัด ๆ อีกที “สี่แยกหัวตะเข้ Cafe & Guesthouse”
เป็นบ้านไม้เก่าสองชั้นริมน้ำ เดิมก็เป็นที่อยู่อาศัย ได้รับการบูรณะปรับปรุงหลายจุด เช่น เปิดผนังบ้านชั้นล่างออกให้กลายเป็นอาคารโล่งรับบรรยากาศของคลอง นำข้าวของแบบชาวบ้านมาจัดวาง และตกแต่งผนังอย่างมีวิธีคิดทางศิลปะ
ชั้นบนจัดเป็นห้องพัก 3 ห้อง ซึ่งมีนักเดินทางต่างชาติตบเท้าเข้ามาเยือนอยู่เป็นประจำ เรียกว่าคนไทยอย่างผมกลับไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่ามีสถานที่สุดชิคอยู่ในเขตกรุงเทพฯ นี่เอง
เจ้าของผู้ทำการปรับปรุงอาคารนี้ คือ พี่เปา-ชวลิต สัทธรรมสกุล ที่ต้องเอ่ยนามเพราะผลงานชิ้นสำคัญของพี่เปา เพิ่งได้รับรางวัลอาคารอนุรักษ์ศิลปสถาปัตยกรรมดีเด่น ประจำปี 2559 จากสมาคมสถาปนิกสยาม…นี่ผมไปอยู่ที่ไหนมา!!!
ห้องพักตกแต่งแบบวินเทจ เครื่องเรือนเป็นแบบที่คุ้นตาในหนังย้อนยุค มีระเบียงหลังห้องเปิดออกสู่ลำคลอง ลมพัดเย็นสบาย แม้ว่านอกชายคาจะเป็นเวลาแดดเปรี้ยงก็ตาม “นอนพักสักหน่อยละกัน ตั้งใจมาชิลอยู่แล้วนี่” แอบหาเหตุผลให้ตัวเองในใจก่อนหลับตาพักกายยามตะวันจะลับลา
เย็นลงแดดอ่อน หลังจากนอนพักเต็มอิ่ม เราย้ายนิวาสสถานลงมายังร้านกาแฟชั้นล่าง ยึดพื้นที่ชานบ้านติดลำคลอง หยิบหนังสือมาเปิดตั้งใจจะอ่านให้ได้สักบท แต่ไม่ทันจบหน้า สายลมที่พัดมาพาใบเฟิร์นที่ห้อยระย้าจากชายคาแกว่งไกว ช่างดึงดูดสายตาเสียจนไม่เป็นอันได้ทำอะไร
ได้พักในบรรยากาศดี ๆ มีบทสนทนากับเพื่อนที่คุยภาษาเดียวกัน คือ ความสุขของชีวิตอย่างหนึ่ง
ตะวันคล้อยต่ำ อากาศยามเย็นแสนสบาย เพื่อนสายอาร์ตพายเรือคายัคจากท่าเรือหัวตะเข้ อ้อมมาหาที่ชานบ้านพัก พยักหน้าชวนนั่งเรือชมบ้านเรือนริมน้ำ
ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนสี ผิวน้ำในคลองส่องสะท้อนแสงเปลี่ยนไปตามสีสันของช่วงตะวันใกล้ลับลา ช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านจากวันสู่คืนมีเสน่ห์ดึงดูดใจ พาให้นิ่งอยู่นานจนเกือบลืมกดชัตเตอร์บันทึกความทรงจำ
ผมพายเรือลำน้อยไปลอยกลางสี่แยกคลอง รอดูฟ้าหลังพระอาทิตย์ลับตาไป “ถ้าแค่จะพักสมอง ก็ไม่ต้องไปไหนไกลถึงต่างจังหวัดแล้ว”
ชั้นเรียนศิลปะริมคลอง
เช้าตรู่ เสียงเรือยนต์ที่แล่นผ่านไปมา ปลุกนักเดินทางจากนิทรามารับอรุณ “ไข่กระทะกับกาแฟครับผม” หลังแจ้งความจำนงก็คว้าหนังสือเล่มเดิมเปิดหาหน้าที่อ่านค้างอยู่ แต่ไปได้ไม่เกินสิบบรรทัดเท่านั้น
เช้า ๆ บนชานบ้านริมคลองแบบนี้ จะมีอะไรเป็นสุขเท่านั่งมองแสงสะท้อนน้ำระยิบระยับ ปล่อยเวลาเคลื่อนผ่านไปโดยเราหยุดนิ่งเสียบ้าง
สาย ๆ เพื่อนพายเรือมาชวนไปวาดรูป อย่างที่เราตั้งใจกันมาจากในเมือง เริ่มจากใช้เกรยองวาดภาพความทรงจำบนกระดาษ ปาดแท่งสีเป็นผืนน้ำผืนฟ้า ตวัดเส้นเป็นเสาไฟและรายละเอียดชุมชน เติมคนตัวเล็ก ๆ ยืนอยู่บนสะพาน จากภาพที่เราวาดกันเห็นได้ชัดว่า มุมมองและความรู้สึกของแต่ละคนช่างแตกต่าง แม้จะมองภาพจากมุมเดียวกันก็ตาม
ก่อนจะต่อภาพถัดไป กินกลางวันกันเสียก่อน มีอีกสองร้านที่เห็นวันนี้ Steak Set & Save ท่าเรือตลาดไม้หัวตะเข้ ข้าง ๆ ที่นั่งวาดรูปของเรา มีเมนูหลากหลายโดยเฉพาะจานปลาที่ทอดมากรอบนอกนุ่มใน ขายแต่เสาร์-อาทิตย์ 10 โมงถึง 6 โมงเย็น เท่านั้น กับร้านก๋วยเตี๋ยวโรงกลึง กับเมนูเกี๊ยวกุ้งต้มยำ เกี๊ยวลูกโตเนื้อกุ้งเต็ม ๆ อันนี้มีทุกวันตั้งแต่ 8 โมง ยาวถึง 6 โมงเย็นเช่นกัน ที่รู้รายละเอียดครบรสทั้งสองร้าน เพราะเราลิ้มลองครบทั้งคู่ขอรับ
แวะซื้อเฟรมขนาดเล็กที่ร้านกรอบรูป มาให้เพื่อนสอนการวาดภาพด้วยสีอะคริลิก เก็บความทรงจำของแสงสะท้อนจากผิวน้ำคลองประเวศบุรีรมย์มาบวกกับความรู้สึกของเรา ก่อนจะถ่ายทอดออกมาบนผืนผ้าใบ พูดได้เป็นฉาก ๆ แต่ตอนปาดเกรียงลงพู่กัน เพื่อนสายอาร์ตต้องสวมวิญญาณครู สอนสั่งนักเรียนรุ่นใหญ่อย่างอดทน
ก็…ทักษะไม่ดี มีแต่ใจศิลป์ล่ะนะ
วาดรูปเสร็จตอนบ่ายแก่ ๆ เพื่อน ๆ ชาวหัวตะเข้ลากเรือคายัคลงน้ำอีกครั้ง อืมมม แม้จะบอกว่าเรือนี้มีให้นักเดินทางเช่าพาย คงต้องรีบติดต่อที่ท่าเรือกันหน่อยนะ เพราะไม่อย่างนั้นเด็กศิลป์จะคว้าเรือไปสร้างจินตนาการกลางคลองกันหมดแน่ ๆ
ค่ำ ๆ อำลา ยามมามาบนราง ยามกลับลองกลับบนล้อละกัน ระหว่างทางเดินจากคลองไปถนน ยังได้แวะดูงิ้วที่โรงเจข้างตลาด สีสันชุมชนนี้หลากหลายดีจริง ๆ วันไหนเหนื่อยงานใจล้าจะมาใช้ชีวิตนิ่ง ๆ เติมพลังให้เต็มก่อนกลับไปสู้งานต่อ
“แต่คราวหน้าจะไม่หยิบหนังสือมาละนะ”
##################################
“สี่แยกหัวตะเข้ Cafe & Guesthouse”
เปิดทุกวัน 10.00 – 19.00 น.
โทร. 081-514-6636
https://www.facebook.com/siyaehautakhe/
ติดตามข้อมูล : ชุมชนคนรักหัวตะเข้