กุหลาบพันปี ณ ม่อนจอง
Journey
Writer/Photo : ศรัณย์ เสมาทอง
แสงสลัวที่ส่องฝ่าหมอกหนาผ่านดงไม้ใหญ่ ดูแล้วนึกถึงหนังผจญภัยในแดนดึกดำบรรพ์ ผมโผล่หัวออกนอกเต็นท์ปล่อยลมหนาวปะทะใบหน้าให้หนำใจ แต่ตัวยังซุกถุงนอนในเต็นท์
“อากาศเย็นเสียขนาดนี้ จะรีบออกไปไหนกันเล่า เช้ามืดแบบนี้น่าจะต่ำกว่า 10 เซลเซียสนะ” แค่นึกก็เหมือนลมเย็นจะเล็ดลอดรอยตะเข็บเข้ามาในเขตอบอุ่นเสียอย่างนั้น
“กุหลาบพันปี เลียงผา ม้าเทวดาหรือกวางผา คิดว่าเราจะได้เจอไหม” แอบเผยเป้าหมายในชีวิตกับเพื่อนร่วมทาง
คำตอบมีแต่รอยยิ้ม ผมมองตามสายตาเพื่อนที่มองไปยังกลุ่มนักเดินทางแต่งตัวจัดที่กำลังลั้นลากับการถ่ายภาพตัวเองท่ามกลางวิวภูเขาเวิ้งว้าง “กุหลาบพันปีแน่นอน” ผมรำพึง
เที่ยวสนุกกันแบบนี้ คงได้เจอแต่สิ่งที่ไม่มีขาเดินหนีเท่านั้นล่ะ
เสียงนาฬิกาปลุกดังมาจากเต็นท์ข้าง ๆ ดังยาวเสียจนทุกคนเปิดออกมารวมตัว แต่เจ้าของเสียงปลุกยังคงนอนอุตุเหมือนอยู่บ้านตัวเอง พี่เจ้าหน้าที่ลุกมาก่อกองไฟตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง รอพวกเราขยับตัวปรุงอาหารเช้ากันเอง ผมคว้ากล้องออกไปรัวชัตเตอร์ก่อนจะมาต้มน้ำชงกาแฟขม ๆ ให้ทุกคน
ผมหลงรักชีวิตแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ แม้จะไม่ใช่นักเดินทางตัวจริงที่รู้เรื่องราวป่าเขา ไม่ใช่นักดูนกหรือนักนิยมกล้วยไม้ตัวฉกาจ แต่ก็ยังตบเท้าเข้าป่าเมื่อมีโอกาส
ช่วงเวลาที่นั่งรอบกองไฟท่ามกลางหมอกหนาว มองต้นไม้ที่อายุมากกว่าเราหลายสิบรอบ จิบกาแฟร้อน ๆ วางสมุดบันทึกและกล้องถ่ายรูปไว้ข้าง ๆ ช่างเป็นสุข…มากกว่าเด็กเจนเนอเรชั่นแท็ปเล็ตจะเข้าใจ
เราเดินทางจากเมืองกรุงมาที่หน่วยพิทักษ์ป่ามูเซอ ‘เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอมก๋อย’ อ.นันทบุรี ชื่อนี้อาจยังไม่คุ้น เพราะเพิ่งเปลี่ยนมาได้ไม่นาน ต้องโขยกบนรถขับเคลื่อนสี่ล้อไปพร้อม ๆ กับลูกหาบ ซึ่งจำเป็นมากสำหรับนักเดินป่ามือสมัครเล่นเช่นเรา ทุกคนที่มาคงต้องใช้บริการทั้งรถและลูกหาบ เพราะมาเองคงไม่ไหวจริง ๆ
“จากตรงนี้ต้องเดินไปอีก 3 กิโลเมตรจะถึงภูหินช่อ และเดินต่อไปอีกประมาณ 1 กิโลเมตรก็จะถึงสนามกอล์ฟช้าง” รวม 4 กิโลเมตรจึงจะถึง ตรงที่ผมนั่งจิบกาแฟอยู่นี่ พวกเราจัดแจงปลดสิ่งที่เป็นภาระให้ลูกหาบอย่างเร็ว เพราะประสบการณ์สอนว่า
“ลำพังกระเป๋าประจำกายใบเล็ก ๆ กับกล้องถ่ายรูปก็ทำให้ล้าพอแล้ว”
เราเดินเข้าป่าที่เห็นเบื้องหน้า เส้นทางเดินขึ้นตลอด รอบตัวเป็นต้นไม้ใหญ่บังแสงตะวันเสียเกือบไม่ลอดลงมากระทบพื้น อากาศเย็นกว่าห้องนอนติดแอร์วันฝนตกเสียอีก แต่กระนั้นเหงื่อก็เริ่มซึมออกมาตามแผ่นหลัง
“ค่อย ๆ จิบน้ำนะครับ อย่าดื่มทีเดียวเยอะ ๆ เดี๋ยวจะจุกจนเดินไม่ไหว” คำเจ้าหน้าที่ยังก้องอยู่ในหัว เส้นทางยาวร่วม 2 กิโลเมตร คนที่ไม่ฟิตเริ่มเดินช้าลงเรื่อย ๆ
พ้นดงไม้เราเจอที่โล่งกว้างใหญ่ เห็นทิวเขาไกลลิบ ๆ มีแต่ไม้ใบเตี้ย ๆ เป็นทุ่ง “ต้นสาบเสือครับ มีสรรพคุณเป็นยาด้วยนะ” อ้อออ เคยรู้ว่าสามารถห้ามเลือดได้ดีนัก แต่หน้าตาไม่ค่อยคุ้นเคยเท่าไร
ที่ผ่านมาเพิ่งทำงานเขียนเกี่ยวกับ “ความหลากหลายทางธรรมชาติของไทย” เลยได้รู้ว่า เจ้าสาบเสือน่ะ จัดเป็น Alien Species บ้านเดิมอยู่อเมริกากลางแถบฟลอริดา อาร์เจนติน่า เป็นไงมาไงถึงมาโผล่เป็นดงที่ม่อนจอง อันนี้เกินจะหาคำตอบ และรู้ไหมว่าหลายสิ่งในบ้านเราเป็นชนิดพันธุ์ต่างถิ่น อย่างดอกบัวตองที่โด่งดังก็มาจากอเมริกากลางแถว ๆ เม็กซิโก เจ้านี่ค่อนข้างอันตรายเสียด้วย เพราะรากเขามีสารพิษที่ทำให้ต้นไม้อื่น ๆ ไม่สามารถโตได้ อยู่แถว ๆ ที่ท่องเที่ยวยังพอได้ แต่อย่าให้หลุดไปแถวป่าต้นน้ำเชียวล่ะ
แต่เอเลี่ยนก็ใช่ว่าจะมีแต่เรื่องร้ายเสมอไป บางสิ่งก็เป็นประโยชน์ อย่างปลานิลจริง ๆ ก็ไม่ใช่ของบ้านเรา ยางพาราก็ไม่ใช่ สารพัดในจานส้มตำก็ไม่ใช่ “ไม่เชื่อล่ะสิ” ลองฟังดูนะ มะละกอและพริกมาจากอเมริกากลางและใต้ มะเขือเทศก็อเมริกากลาง ถั่วฝักยาวมาจากจีนและอินเดีย กระเทียมมาจากเอเชียกลาง มะนาวมาจากอินเดียตอนเหนือ เหลือปูเค็มที่สัญชาติไทย แต่เดี๋ยวนี้ก็เริ่มร่อยหรอจนต้องนำเข้ามาจากพม่ากันแล้ว
แม้ว่าไทยเราจะได้ชื่อว่ามีความหลากหลายทางชีวภาพสูงมาก แต่การไม่ระวังเรื่องเหล่านี้ ยังชอบนำสัตว์แปลก ๆ มาเลี้ยง แล้วปล่อยหลุดมาในธรรมชาติ สักวันอาจจะไม่มีเวลาแม้แต่จะเสียใจนะ…ขอเตือน
หลังจากพักเอาแรงที่ภูหินช่อ ระยะประมาณ 3 กิโลเมตรจากจุดเริ่มต้น เวลาก็ล่วงเลยตะวันใกล้ลาลับ เราเร่งฝีเท้าบนภูเขาที่คลุมด้วยหญ้าแห้ง ๆ “อีกกิโลเดียวครับ น่าจะทันตอนพระอาทิตย์ตกที่สนามกอล์ฟช้าง” พี่เจ้าหน้าที่เอ่ยเสียงใส ในขณะที่กลุ่มนักเดินทางเริ่มถอดเสื้อออกทีละชั้น หายใจถี่ขึ้นเรื่อย ๆ ช่วงนี้ล่ะ ถ้าไม่ก้มหน้ามองแต่เท้าตัวเอง จะเห็นทิวทัศน์ที่โด่งดังของดอยม่อนจอง เนินเขาคลุมหญ้าโค้งรับกันไปมาจนสุดตา “ดีใจนะเนี่ย ที่ตัดสินใจมาก่อนจะแก่ไปกว่านี้” พี่สาวคนสวยประจำกลุ่มพูดออกมาด้วยเสียงอันดัง “ใครแก่กันครับ เดินฉับ ๆ ขนาดนี้” ผมพูดจริง ๆ เพราะจังหวะการเดินของเรานั้นเท่ากัน
เรามาถึงสนามกอล์ฟช้าง สนามหญ้ากว้างขวาง ตอนพระอาทิตย์ใกล้ลับโค้งเขา แสงแดดจับต้องผืนหญ้าเหมือนหญ้าสายพันธุ์มหัศจรรย์ เป็นสีทองทั่วทั้งเนินเขา นักเดินทางตัวเล็ก ๆ นิ่งอึ้งมองอยู่ชั่วขณะ ซึมซับบรรยากาศที่มิอาจพบเห็นบนถนนหนทางเมืองหลวง เสียงชัตเตอร์ดังขึ้นรัว ๆ หลังจากชื่นชมได้ชั่วขณะ ผมเดินเลี่ยงไปไกลจากกลุ่ม เพื่อรับฟังเสียงลมวู่หวิวที่พัดผ่านริ้วหญ้ามาปะทะกาย
ผมหลงรักชีวิตแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ รู้ตัวอีกทีก็ยากจะกลับใจ
ค่ำคืนนั้นหลังอาหารค่ำที่เราต่างลงมือกันคนละเมนู ก็ได้เวลาสนทนากลางสายลมหนาว สารทุกข์สุกดิบไม่ค่อยได้เอื้อนเอ่ย เรื่องราววันนี้ที่เดินเท้าด้วยกันเป็นตัวเปิดเรื่อง และพาไปไกลถึงดินแดนอื่นที่ใคร ๆ เคยไปเยือน “โกตาคินาบาลู ยอดสูงที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อันนี้ล่ะที่อยากไป” ผมพูดขึ้นมา สมใจอยาก เพราะหลายคนในกลุ่มไปเช็คอินมาแล้ว เรื่องเล่าเลยไม่รู้จบ ยอดหัวสิงห์วันพรุ่งนี้ยังไปไม่ถึง แต่กลับมีที่หมายใหม่เสียแล้ว
ผมยกกาแฟขึ้นจิบช้า ๆ เป่าให้ไอร้อนพุ่งขึ้นปะทะจมูก คนไม่เคยนอนกลางป่าอาจไม่เข้าใจว่าทำไมทำแบบนี้แล้วถึงรู้สึกดี อากาศเช้าบนพื้นที่สูงประมาณ 1,900 เมตร จากระดับน้ำทะเลดึงให้อยากนั่งนิ่งรอบกองไฟนาน ๆ แต่คงทำไม่ได้ เพราะหลังอาหารเช้าเราจะตบเท้าออกเดินอีก 1 กิโลเมตร ไปจุดยอดของม่อนจอง “ยอดหัวสิงห์” หน้าผารูปร่างเหมือนหัวสิงห์ที่เราถ่ายภาพไปเมื่อยามเย็น บรรดานักเดินทางแฟชั่นนิสต้าสวมเสื้อผ้าหลากสี “จะไปถ่ายรูปแข่งกับกุหลาบพันปีค่ะ” ครับ…เอาที่สบายใจนะ
แม้จะสายแล้ว แต่อากาศก็น่าจะประมาณ 10 เซลเซียส มือที่ถือกล้องยังต้องพันผ้าก่อนที่นิ้วจะแข็งค้างง้างแล้วกดชัตเตอร์ไม่ลั่น “ดอกหนาดเงิน” ดอกเล็ก ๆ สีขาวสวยประดับตามพรมหญ้า ก็ไม่รอดสายตาช่างภาพ รัวชัตเตอร์ติด ๆ
ต้นกุหลาบพันปีต้นแรกที่เห็นอยู่ไกลออกไปทางลาดผา พยายามเข้าใกล้แต่คนเราไม่ใช่กวางผาหรือม้าเทวดา เลยได้ภาพไกล ๆ ยิ่งเดินไปเรื่อย ๆ เหมือนว่าดงกุหลาบพันปีจะขยับเข้าหาเรามากขึ้น ๆ ในที่สุดเราก็ไปอยู่กลางดง ใต้ต้นไม้สุดยอดปรารถนาของทริปนี้ “โหหหห ได้เห็นใกล้แบบนี้น้ำตาจะไหล”
ดอกสีแดงเข้มประดับบนต้นรูปร่างแปลกตา แต่ไม่ใช่เอเลี่ยนนะ เขาเป็นกุหลาบป่าที่พบได้ในไทยอินเดียเนปาล ภูฏาน พม่า และจีน เป็นไม้พื้นถิ่นที่แสนสวย อันนี้สิควรค่าแก่การเดินเท้าต้านลมหนาวมาทักทาย
เสียงชัตเตอร์รัวลั่นมาจากจุดสูงสุด 1,929 เมตรจากระดับน้ำทะเล หากไม่หันไปมองอาจนึกว่าเป็นงานรับปริญญา ผมยังมะงุมมะงาหราอยู่แถวดง “คำแดง” กุหลาบพันปีเป้าหมายของผม “เฮ้ยยยย มาถ่ายภาพหมู่ เร้ววววว” โอเค ขอกดชัตเตอร์ครั้งสุดท้ายแล้วจะไปร่วมกลุ่ม แอบยิ้มให้ดอกไม้ คงไม่แปลกนักใช่ไหม “แล้วเจอกันใหม่นะ อย่างน้อยผมก็รู้ว่าคุณอยู่ตรงนี้”
นักเดินทางสีสันหลากหลายยืนเรียงรายรอผมอยู่ เราเก็บความประทับใจราวกับไม่เหน็ดเหนื่อย เส้นทางเดินกลับเท่ากับที่เราเดินผ่านมารอคอยอยู่อีกไม่กี่นาที ความรู้สึกนี้คงตราตรึงไว้อีกนาน และจะนานกว่านั้นสำหรับภาพที่ปรากฏในโซเชียลเน็ตเวิร์ก
ถึงตอนนี้ก็ยังคงตอบไม่ได้ ว่าผมหลงรักชีวิตแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไร
หมายเหตุ : ทริปนี้ไปเมื่อปีก่อนและกุหลาบพันปีจะบานราวเดือนมกราคมถึงพฤษภาคมแต่ช่วงที่บานเต็มที่คือปลายเดือนกุมภาพันธ์ เตรียมตัวกันทันไหมครับ